อเมริกา
ทรัมป์หาเสียงจุดที่เคยถูกลอบสังหาร - มัสก์ ร่วมขึ้นเวที
อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางกลับไปหาเสียงที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย จุดเดียวกับที่เขาเคยถูกพยายามลอบสังหารเมื่อเดือนกรกฎาคม โดยมีมหาเศรษฐีอิลอน มัสก์ ร่วมขึ้นเวทีปราศรัยด้วย ในขณะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้
อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางกลับไปหาเสียงที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย จุดเดียวกับที่เขาเคยถูกพยายามลอบสังหารเมื่อเดือนกรกฎาคม โดยมีมหาเศรษฐีอิลอน มัสก์ ร่วมขึ้นเวทีปราศรัยด้วย
ในขณะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังใกล้เข้ามาในอีกเพียง 4 สัปดาห์ คณะหาเสียงของทรัมป์กำลังพยายามผลักดันคะแนนเสียงของทรัมป์ให้แซงหน้าคู่แข่ง คือ รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต โดยเฉพาะในรัฐที่เป็นสมรภูมิสำคัญที่ทั้งสองผู้สมัครมีคะแนนคู่คี่กัน รวมทั้งรัฐเพนซิลเวเนีย
ก่อนจะเริ่มกล่าว ทรัมป์ขอให้ผู้เข้าร่วมฟังคำปราศรัยของเขายืนไว้อาลัยต่อ คอรีย์ คอมเพอราโตเร เจ้าหน้าที่ดับเพลิงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์บอลสังหารเขาเมื่อวันที่ 13 ก.ค.
ทรัมป์ซึ่งยืนอยู่บนเวทีที่มีกระจกกันกระสุนกั้นท่ามกลางเจ้าหน้าที่อารักขาอย่างแน่นหนา กล่าวต่อผู้สนับสนุนเขาว่า "เราสู้ด้วยกัน เราผ่านสิ่งต่าง ๆ มาด้วยกัน เราเดินหน้าไปด้วยกัน และที่เพนซิลเวเนียแห่งนี้ เราสละเลือดไปด้วยกัน" และเรียกผู้ที่พยายามลอบสังหารเขาซึ่งถูกยิงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุว่า "สัตว์ร้าย"
หนึ่งในแขกที่ร่วมขึ้นกล่าวปราศรัยที่เมืองบัตเลอร์เมื่อช่วงเย็นวันเสาร์ คือ อิลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทรถยนต์เทสลา (Tesla) ที่ขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับชูกำปั้นขึ้นฟ้าหลังจากที่ทรัมป์แนะนำว่าเขาคือ "สุภาพบุรุษที่ยิ่งใหญ่" และ "ผู้ปกป้องการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี"
มัสก์ กล่าวบนเวทีปราศรัยว่า "ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องชนะเพื่อรักษารัฐธรรมนูญ เขาต้องชนะเพื่อรักษาประชาธิปไตยในอเมริกา" และว่า "นี่คือสถานการณ์ที่ต้องชนะเท่านั้น"
ทั้งนี้ มัสก์เริ่มประกาศตัวสนับสนุนทรัมป์หลังจากที่เขาถูกลอบสังหารที่เมืองบัตเลอร์แห่งนี้
ทั้งนี้ เขตปกครองบัตเลอร์เคาน์ตี ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของรัฐเพนซิลเวเนีย ถือเป็นฐานเสียงสำคัญของทรัมป์ โดยเขาชนะเลือกตั้งที่เขตปกครองนี้ทั้งเมื่อปี 2016 และ 2020 ด้วยคะแนน 66% โดยเคาน์ตีนี้มีประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเกือบ 140,000 คน ในจำนวนนี้ลงทะเบียนสังกัดพรรครีพับลิกัน 57% และพรรคเดโมแครต 29% ที่มา: เอพี