ต่างประเทศ
ผู้อพยพในสหรัฐฯ กังวลเกี่ยวกับสถานภาพ หากทรัมป์กลับคืนสู่ทำเนียบขาว
ผู้อพยพเข้าสหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของตนเอง หากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นฝ่ายมีชัยในการเลือกตั้งเก้าอี้ผู้นำทำเนียบขาวในปีนี้ เนื่องจากจุดยืนแข็งกร้าวที่คัดค้านกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองซึ่งเปิดทางให้มีผู้อพยพเข้าประเทศ สำนักข่าวเอพีท
ผู้อพยพเข้าสหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของตนเอง หากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นฝ่ายมีชัยในการเลือกตั้งเก้าอี้ผู้นำทำเนียบขาวในปีนี้ เนื่องจากจุดยืนแข็งกร้าวที่คัดค้านกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองซึ่งเปิดทางให้มีผู้อพยพเข้าประเทศ
สำนักข่าวเอพีที่พูดคุยกับผู้อพยพจำนวนหนึ่งระบุว่า เมื่อครั้งที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและดำเนินนโยบายต้านการอพยพเข้าเมืองอย่างเต็มที่ มีเด็กที่ถูกแยกออกมาจากพ่อแม่ที่ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกนับพันนับหมื่นคน และเด็กเหล่านี้ก็ยังอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ จนถึงบัดนี้
การดำเนินการดังกล่าวของทรัมป์นำมาซึ่งเสียงเรียกร้องมากมายจนทรัมป์ยอมประกาศยุติแผนงานนี้ในปี 2018 ก่อนที่ผู้พิพากษารายหนึ่งจะสั่งให้รัฐบาลนำเด็ก ๆ ที่ถูกพรากจากอกพ่อแม่ให้กลับมาเจอกัน แต่เพราะการเก็บข้อมูลไม่ดีพอ การแก้ไขปัญหานี้กลับเป็นเรื่องยาก ขณะที่ พ่อแม่หลายคนได้ถูกส่งตัวออกนอกสหรัฐฯ ไปแล้ว
หลายคนไม่มีโอกาสได้กลับไปเจอหน้าครอบครัวจนวันนี้ และได้รับสถานภาพผู้พำนักในสหรัฐฯ ชั่วคราว ขณะที่ ความน่าจะเป็นของการที่ทรัมป์กลับคืนสู่ทำเนียบขาวก็นำมาซึ่งความกลัวเกี่ยวกับการถูกส่งตัวออกนอกประเทศ ตามที่ตัวแทนพรรครีพับลิกันผู้นี้ประกาศว่าจะดำเนินการต่อผู้อพยพเข้าประเทศที่ผิดกฎหมาย ถ้าหากได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง
อดีตปธน.ทรัมป์ชูนโยบายตรวจคนเข้าเมืองที่แข็งกร้าวเป็นหนึ่งในแผนหาเสียงของตนในปีนี้ และยังกล่าวหารัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดนและรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ว่า ประสบความล้มเหลวในการยกระดับความปลอดภัยตามแนวชายแดนทางใต้ของประเทศด้วย
ทั้งนี้ แฮร์ริสไม่ได้ชูเรื่องกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองให้เป็นประเด็นหาเสียงหลักของตน แต่ยกเรื่องจุดยืนอันแข็งกร้าวของทรัมป์ในเรื่องนี้มาโจมตีแทน
ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น รัฐบาลทรัมป์ดำเนินคดีอาญาต่อผู้อพยพที่เป็นผู้ใหญ่ที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ โดยผิดกฎหมาย และทำการแยกตัวพ่อแม่และเด็กออกจากกัน โดยส่งตัวเด็ก ๆ ไปอยู่ตามศูนย์ดูแลต่าง ๆ ทั่วประเทศ
สำหรับการหาเสียงเลือกตั้งปีนี้ ทั้งทรัมป์และทีมงานหาเสียงยังไม่ได้ระบุชัดเจนว่า หากชนะ จะนำนโยบายดัวกล่าวกลับมาใช้งานอีกหรือไม่ แม้จะไม่เคยปฏิเสธหรือยืนยันว่า จะไม่ทำการดังว่าเลย
ในเวลานี้ ครอบครัวส่วนใหญ่ที่ถูกจับแยกพ่อแม่และลูกเมื่อหลายปีก่อนยังเผชิญกับสภาวะทางกฎหมายที่ไม่แน่นอน และไม่มีความชัดเจนว่า ตนเองอยู่ในสหรัฐฯ ในฐานะอะไร แม้ว่าในปีที่แล้ว รัฐบาลไบเดนจะบรรลุข้อตกลงกับครอบครัวผู้อพยพเหล่านี้ว่า คนเหล่านี้มีเวลา 2 ปีในการยื่นขอสถานภาพผู้ขอลี้ภัยภายใต้กระบวนการที่เอื้อมากกว่า พร้อมเงื่อนไขห้ามรัฐบาลในอนาคตทำการแยกพ่อแม่และลูกไปจนถึงปี 2031
ที่มา: เอพี