อเมริกา
อนาคตไม่แน่นอนของ ‘ผู้อพยพผิดกฎหมายชาวจีน’ ในยุคทรัมป์ 2.0
ผู้อพยพชาวจีนที่เดินทางเข้าอเมริกาอย่างผิดกฎหมาย ต่างถ่ายทอดอนาคตที่ไร้ความแน่นอน ก่อนที่ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้มีนโยบายแข็งกร้าวกับผู้อพยพผิดกฎหมายจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในปีหน้า หญิงชาวจีนในช่วงวัยประมาณ 30 ปีที่ให้นามสมมติว่
ผู้อพยพชาวจีนที่เดินทางเข้าอเมริกาอย่างผิดกฎหมาย ต่างถ่ายทอดอนาคตที่ไร้ความแน่นอน ก่อนที่ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้มีนโยบายแข็งกร้าวกับผู้อพยพผิดกฎหมายจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในปีหน้า
หญิงชาวจีนในช่วงวัยประมาณ 30 ปีที่ให้นามสมมติว่า เสี่ยว จิง เปิดเผยกับวีโอเอว่า ต้นทุนในการเข้าสหรัฐอเมริกา ผ่านพรมแดนตอนใต้นั้นอยู่ที่ 250,000 หยวน หรือราว 1.2 ล้านบาท ซึ่งเป็นใบเบิกทางที่ไร้เอกสารเข้าประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เสี่ยว เผยกับวีโอเอว่า “ฉันได้รับคำแนะนำจากคนรู้จักที่ประสบความสำเร็จ[ในการเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมายผ่านพรมแดนตอนใต้] มาช่วยกรอกวีซ่าชาวญี่ปุ่นและจัดบริการรับ-ส่งหลังจากเดินทางไปถึงเม็กซิโก” และคนที่เม็กซิโกจะช่วยเธอข้ามพรมแดนมายังสหรัฐฯ อีกทอดหนึ่ง
ผู้อพยพผิดกฎหมายรายนี้ เคยทำงานเป็นพนักงานบริษัทเล็ก ๆ ในเมืองฉงชิ่ง แต่ด้วยเศรษฐกิจจีนในทิศทางขาลงในช่วงหลายปีมานี้ นายจ้างของเธอเริ่มค้างค่าจ้างและปลดพนักงานออกหลายราย ซึ่งเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอกล่าวว่า “ในช่วงอายุของฉันตอนนี้ มันยากที่จะหางานทำ และฉันไม่ชอบบรรยากาศการเมืองในประเทศเลย”
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวกล่าวว่า หากเธอขอวีซ่าสหรัฐฯ จะต้องรอการสัมภาษณ์และรายได้ทรัพย์สินที่เธอมีจะถูกตรวจสอบอย่างละเอียด เธอจึงเลือกแผนสำรองอย่างการออกวีซ่าญี่ปุ่นและซื้อตั๋วเครื่องบินออกนอกประเทศที่ไม่ได้ระบุหมุดหมายที่ชัดเจนไป
หญิงอีกรายที่เรียกตัวเองว่า “ลิซ่า” เจ้าหน้าที่ชาวจีนที่ช่วยเหลือผู้อพยพแดนมังกรให้เข้ามายังสหรัฐฯ โดยปราศจากเอกสารถูกต้องตามกฎหมาย กล่าวกับวีโอเอว่า เธอได้รับคำขอจากชาวจีนมากขึ้นอย่างผิดปกติในช่วงไม่กี่วันมานี้ และเธอแนะให้พวกเขาเดินทางให้เร็วที่สุดและเข้าถึงสหรัฐฯ ให้ได้ก่อนที่ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ
หนึ่งในนโยบายสำคัญที่ทรัมป์สัญญากับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง คือ มาตรการที่เข้มงวดขึ้นกับผู้อพยพที่เข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย ทรัมป์กล่าวระหว่างหาเสียงในเฮนเดอร์สัน รัฐเนวาดา เมื่อวันที่ 31 ตุลาคมว่า “เมื่อผมเข้ามาบริหารประเทศ การทะลักของผู้อพยพจะสิ้นสุดลง และการฟื้นฟูประเทศของเราจะเริ่มขึ้น”
ยิ่งไปกว่านั้น ทรัมป์ยังหมายหัวผู้อพยพจากจีน เมื่อครั้งหาเสียงในชเน็ควิลล์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อ 13 เมษายนที่ผ่านมา โดยกล่าวว่าคนกลุ่มนี้ว่า “อยู่ในช่วงวัยที่เป็นทหารได้และส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย และมอง ๆ ดูแล้ว สำหรับผม คนกลุ่มนี้พยายามสร้างกองทัพเล็ก ๆ ในประเทศเราอยู่หรือเปล่านะ?”
แต่ถึงกระนั้น ลิซ่า กล่าวว่า ผู้คนจากจีนไม่ได้ลดความต้องการจะเข้าสหรัฐฯ ไปเลย เพราะเศรษฐกิจจีนและการขาดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ลิซ่า ได้สร้างกลุ่มในแอปพลิเคชันแชตเทเลแกรมที่พูดคุยเรื่องการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ลิซ่ากล่าวว่าสมาชิกในห้องแชตเพิ่มขึ้นทุกวัน และว่าตอนนี้ชาวจีนไม่มีปัญหาในการเข้าเม็กซิโก พร้อมแสดงหลักฐานตราประทับเข้าเม็กซิโกบนหนังสือเดินทางของลูกค้าจำนวนหนึ่งของเธอ อีกทั้งยังแนะว่าเส้นทางที่ควรอพยพคือการบินจากติฮัวนา เม็กซิโก และปีนข้ามกำแพงพรมแดนเข้ามายังซานดิเอโก แคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโกใกล้กับนครลอสแอนเจลิส ที่มีประชากรเชื้อสายจีนอยู่เป็นจำนวนมาก
เจ้าหน้าที่ชาวจีนที่ช่วยเหลือผู้อพยพแดนมังกรรายนี้ สังเกตว่าเป็นเรื่องที่ยากขึ้นที่จะเข้ามายังสหรัฐฯ และมีคนถูกควบคุมตัวที่ศูนย์กักกันผู้อพยพเป็นเวลามากกว่า 1 ปีด้วย
หวัง จงเหว่ย ผู้ขอลี้ภัยและนักเคลื่อนไหวชาวจีน ซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้อพยพชาวจีน เผยกับวีโอเอว่า ผู้คนเริ่มหารือเกี่ยวกับเส้นทางใหม่ผ่านคิวบาและโบลิเวียมาหลายเดือนแล้ว แต่มีไม่กี่คนที่สามารถเข้าสหรัฐฯ ได้ผ่านเส้นทางดังกล่าว โดยกล่าวกับวีโอเอว่า “ผมไม่ได้รับการติดต่อกลับจากผู้ที่ใช้เส้นทางผ่านคิวบาเลย แต่สามารถติดต่อผู้คน [ที่พยายามเข้าสหรัฐฯ ผ่านพรมแดนตอนใต้] ได้น้อยลงกว่าแต่ก่อน เกือบทุกคนที่เข้าสหรัฐฯ ได้ด้วยการบินจากญี่ปุ่นไปเม็กซิโกและข้ามกำแพงพรมแดนเข้าสหรัฐฯ”
กั๋ว บิน จากมณฑลกว่างซี เดินทางเข้าสหรัฐฯ ผ่านชายแดนตอนใต้เมื่อปีก่อน พร้อมกับลูกสาววัย 12 ปี เผยกับวีโอเอว่า ในช่วง 2-3 เดือนก่อนหน้านี้ มีผู้คนไม่มากนักที่พยายามเข้าสหรัฐฯ จากจีนไปยังตุรกี ไปเอกวาดอร์ และเข้าสหรัฐฯ ผ่านประเทศอเมริกากลางและเม็กซิโก และว่าตอนนี้มีผู้อพยพชาวจีนที่ติดค้างบริเวณพรมแดนเม็กซิโก เอกวาดอร์ และตุรกี บ้างก็สูญเงินไปหมดเมื่อเดินทางไปได้ครึ่งทาง บ้างถูกหลอกโดยขบวนการค้ามนุษย์ จนต้องพับแผนการอพยพไว้ชั่วคราว
ข้อมูลสถิติจากสำนักงานศุลกากรและการป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ (CBP) ระบุว่า ผู้อพยพชาวจีนที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ พบบริเวณชายแดนตอนใต้ ลดลงไปในช่วงเดือนธันวาคมปี 2023 ที่เกือบ 6,000 คน และในเดือนกันยายน ผู้อพยพจีนลดลงอยู่ที่กว่า 1,300 คน สืบเนื่องมาจากการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกคำสั่งฝ่ายบริหารในการจำกัดคนเข้าเมืองบริเวณชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก ให้ไม่เกิน 2,500 คนต่อวัน และรัฐบาลเม็กซิโกยกระดับการบังคับใช้กฎหมายบริเวณจุดผ่านแดนและถนนสำคัญ และเพิ่มการลาดตระเวนบริเวณชายแดน
กั๋ว กล่าวว่า ผู้อพยพชาวจีนบางส่วนที่เข้าสหรัฐฯ ไปได้โดยไร้วีซ่า กลับต้องลงเอยด้วยการส่งกลับประเทศ เนื่องจากเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนและไม่ผ่านการสัมภาษณ์เข้าประเทศ
เมื่อเดือนกรกฎาคม สหรัฐฯ ประกาศการส่งตัวผู้อพยพจีนกลับประเทศครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2018 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ อเลฮานโดร มายอร์คาส กล่าวว่า สหรัฐฯ จะเดินหน้าบังคับใช้มาตรการควบคุมผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารเข้าเมืองถูกต้อง และว่า “คนเหล่านี้ไม่ควรหลงเชื่อคำลวงของขบวนการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย”
อีกด้านหนึ่ง ข่าวชัยชนะของทรัมป์ ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้อพยพจีนในสหรัฐฯ เช่นกัน ในทัศนะของหวังที่เผยกับวีโอเอว่า “เมื่อผลเลือกตั้งออกมา ห้องแชตผู้อพยพจีนหยิบเรื่องนี้มาถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน และหลายคนเริ่มแสดงความกังวล ว่านโยบายใหม่จะเป็นอย่างไร” โดยเฉพาะแผนการส่งตัวผู้อพยพผิดกฎหมายกลับประเทศขนานใหญ่ของทรัมป์ ซึ่งมีผลกับผู้อพยพเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย และกลุ่มที่ขอวีซ่าผู้ลี้ภัย อย่างตัวหวังเอง ซึ่งใช้เวลาอย่างน้อย 3-5 ปี
หวังยอมรับว่าแม้การเดินเรื่องของเขาจะเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่นในมุมมองของทนายความด้านผู้อพยพ แต่เขายังไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นบ้าง ภายใต้คณะทำงานชุดใหม่ของทรัมป์ ที่มา: วีโอเอ