ต่างประเทศ
‘แฮร์ริส-ทรัมป์’ เร่งดึงคะแนนผู้มีสิทธิ์ที่ยังไม่ตัดสินใจ
รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส และอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่างกำลังเร่งเครื่องอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาที่เหลือก่อนการเปิดคูหาเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน ด้วยการพยายามเข้าหาและดึงคะแนนเสียงสนับสนุนจากผู้มีสิทธิ์กลุ่มเล็ก ๆ ที่
รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส และอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่างกำลังเร่งเครื่องอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาที่เหลือก่อนการเปิดคูหาเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน ด้วยการพยายามเข้าหาและดึงคะแนนเสียงสนับสนุนจากผู้มีสิทธิ์กลุ่มเล็ก ๆ ที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร เพื่อช่วยรับประกันว่า ตนจะเป็นฝ่ายมีชัยในครั้งนี้
ในวันอาทิตย์ แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครต เดินทางไปยังเมืองฟิลาเดลเฟียง รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของประเทศและเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรค เพื่อกระตุ้นแรงสนับสนุนในพื้นที่รัฐสมรภูมิสำคัญแห่งนี้
รัฐนี้เป็น 1 ใน 7 รัฐที่เป็นจุดที่มีการขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดระหว่างสองผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในปีนี้ โดยทั้งแฮร์ริส และทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน เดินทางไปยังเพนซิลเวเนียกันบ่อยครั้ง และมีแผนที่จะไปหาเสียงเพิ่มขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ด้วย
ในช่วงเช้าของวันอาทิตย์ รองประธานาธิบดีหญิงของสหรัฐฯ เดินทางไปร่วมพิธีมิสซาที่โบสถ์แห่งหนึ่ง ก่อนจะตระเวณแวะตามจุดต่าง ๆ ตั้งแต่ร้านตัดผม ไปจนถึงร้านอาหารแบบเปอร์โตริโกและสนามกีฬาบาสเกตบอลสำหรับเยาวชน
ส่วนทรัมป์เลือกจัดการหาเสียงที่เมดิสันสแควร์การ์เดน ซึ่งเป็นสนามกีฬาในร่มอเนกประสงค์ของนครนิวยอร์ก
ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนแสดงให้เห็นว่า ทรัมป์แทบไม่มีโอกาสชนะในรัฐนิวยอร์กที่เป็นรัฐบ้านเกิดนี้เลย โดยในการเลือกตั้งปี 2020 นั้น ทรัมป์ได้คะแนนเสียงไป 40%
ถึงกระนั้น อดีตประธานาธิบดีผู้นี้ก็ยังตัดสินใจจัดกิจกรรมที่สนามกีฬาในร่มความจุ 19,000 ที่นั่งนี้ และผู้สนับสนุนบางส่วนก็มาเข้าแถวรอเข้าตั้งแต่เช้าวันเสาร์ หรือก่อนงานเริ่มถึงกว่า 24 ชั่วโมง
ในสัปดาห์หน้า แฮร์ริสมีแผนจะจัดการหาเสียงที่สวน Ellipse นอกทำเนียบขาว ที่กรุงวอชิงตัน ในวันอังคาร โดยหวังที่จะแสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่ตรงกันข้ามกับทรัมป์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เนื่องจากจุดนี้ทรัมป์ขึ้นเวทีเมื่อวันที่ 6 มกราคม ปี 2021 และเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนตนเดินทางไปยังอาคารัฐสภา เพื่อ “สู้ให้ตายไปข้างหนึ่ง” (fight like hell) และหยุดกระบวนการของสภาคองเกรสเพื่อลงมติรับรอง โจ ไบเดน แห่งพรรคเดโมแครตในฐานะผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์จลาจลบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในวันเดียวกัน
ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ผู้ชุมนุมประท้วงกว่า 1,500 คนถูกจับกุมจากการร่วมก่อเหตุจลาจล และมีเจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย 140 คนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ ผู้ชุมนุมยังได้ก่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของอาคารรัฐสภาเป็นมูลค่าถึง 2.9 ล้านดอลลาร์ด้วย
หลังการดำเนินคดีผู้ก่อเหตุในครั้งนี้จบลง มีผู้ร่วมเหตุการณ์จลาจลกว่า 1,000 คนถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาต่าง ๆ โดยมีผู้ถูกลงโทษสูงสุดด้วยการจำคุกหลายปี
ทั้งนี้ ทรัม์ประกาศไว้ว่า หากตนเป็นผู้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้ง ก็จะประกาศอภัยโทษบุคคลเหล่านี้
ข้อมูลจาก Election Lab ของมหาวิทยาลัยฟลอริดาระบุว่า มีชาวอเมริกันกว่า 41 ล้านคนที่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไปแล้ว ทั้งโดยตัวเองและทางไปรษณีย์ โดยตัวเลขนี้อาจคิดเป็น 1 ใน 4 ของคะแนนเสียงที่จะเกิดขึ้นในปีนี้
การลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าของสหรัฐฯ ยังดำเนินต่อไปในหลายรัฐในสัปดาห์หน้า
สถิติในปี 2020 ชี้ว่า มีชาวอเมริกันออกมาใช้สิทธิ์กว่า 155 ล้านคน โดย 1 ใน 3 นั้นเป็นการลงคะแนนด้วยตนเองในวันเลือกตั้ง
ผลสำรวจความคิดเห็นทางการเมืองหลายชิ้นชี้ว่า การเลือกตั้งปี 2024 นี้เป็นการชิงชัยที่มีความสูสีคู่คี่อย่างมาก และผู้สนับสนุนของทั้งสองฝ่ายต่างก็เลือกจะฟังและอ้างผลสำรวจที่นำเสนอผู้แทนของตนว่าเป็นผู้มีคะแนนนิยมนำอยู่
การสำรวจของหนังสือพิมพ์ เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ และ เดอะ วอชิงตัน โพสต์ ซึ่งเป็นรายงานที่มีชื่อเสียงที่สุด ระบุว่า แฮร์ริสมีคะแนนนำทรัมป์เพียงเล็กน้อยใน 4 รัฐสมรภูมิ จากทั้งหมด 7 รัฐ ซึ่งเพียงพอที่จะนำไปสู่ชัยชนะของเธอหากผลการนับคะแนนเสียงออกมาตรงตามการสำรวจนี้จริง
แต่การสำรวจโดยสถานีโทรทัศน์ เอบีซี นิวส์ ชี้ว่า ทรัมป์คือ ผู้ที่กำลังได้เปรียบอยู่ เช่นเดียวกับในรายงานของ Realclearpolitics.com
ทั้งนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้นไม่ได้ตัดสินกันที่คะแนนความนิยมของผู้มีสิทธิ์ แต่ด้วยคะแนนของคณะผู้แทนเลือกตั้งประธานาธิบดี (electoral vote) จาก 50 รัฐ โดย 48 รัฐจะประกาศว่า ผู้ที่ได้คะแนนเสียงดังกล่าวของรัฐไปคือผู้ชนะการเลือกตั้ง แต่รัฐเนบราสกาและรัฐเมนมีระบบที่ต่างออกไปโดยจะแยกคะแนนของแต่ละคนออกทั้งในการนับคะแนนเลือกตั้งระดับรัฐและการเลือกตั้งผู้แทนรัฐในสภาคองเกรส
คะแนนของคณะผู้แทนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้นคิดคำนวณจากจำนวนประชากรของแต่ละรัฐ ดังนั้น รัฐที่มีประชากรมากที่สุดจึงมีคะแนนที่ว่ามากพอที่จะกำหนดว่า ใครคือผู้ชนะได้ โดยผู้มีชัยจะต้องได้คะแนนอย่างน้อย 270 เสียงจากทั้งหมด 538 เสียง
ที่มา: เอพี