ต่างประเทศ
'ทรัมป์' ยืนยันกวาดชัยชนะรัฐสมรภูมิ เริ่มเผยรายชื่อคณะทำงาน
อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ สามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งแบบทิ้งห่างคู่แข่งจากพรรคเดโมแครต คามาลา แฮร์ริส โดยเฉพาะในรัฐสมรภุมิทั้ง 7 รัฐ จากผลการนับคะแนนล่าสุดอย่างเป็นทางการที่ประกาศในวันอาทิตย์ ก่อนหน้าวันเลือกตั้ง ผลโพลล์จากแทบทุกสำน
อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ สามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งแบบทิ้งห่างคู่แข่งจากพรรคเดโมแครต คามาลา แฮร์ริส โดยเฉพาะในรัฐสมรภุมิทั้ง 7 รัฐ จากผลการนับคะแนนล่าสุดอย่างเป็นทางการที่ประกาศในวันอาทิตย์
ก่อนหน้าวันเลือกตั้ง ผลโพลล์จากแทบทุกสำนักชี้ว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้จะเป็นไปอย่างสูสีคู่คี่ที่สุดครั้งหนึ่ง รวมทั้งในรัฐสมรภูมิ หรือ battleground states ทั้ง 7 รัฐที่จะเป็นตัวชี้ขาดผลการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม ผลการนับคะแนนชี้ว่า ทรัมป์ได้รับชนะในทั้ง 7 รัฐและจะได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ด้วยจำนวน 312 - 226 ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างห่าง โดยผลคะแนนล่าสุดที่รัฐแอริโซนา ชี้ว่าทรัมป์ได้คะแนนเสียงมากกว่าแฮร์ริสถึง 6%
ผลการโหวตรายบุคคล
ทรัมป์ยังเป็นผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันคนแรกในรอบ 20 ปีที่ได้รับคะแนนเสียงรายบุคคล หรือ popular vote มากกว่าคู่แข่ง โดยคนสุดท้ายที่ทำได้คือ อดีตปธน.จอร์จ ดับเบิลยู บุช เมื่อปี 2004
จนถึงขณะนี้ ทรัมป์ได้คะแนน popular vote ไปแล้ว 75 ล้านเสียง มากกว่า 4 ปีก่อนที่เขาได้ไป 74 ล้านเสียง ขณะที่แฮร์ริสได้ไป 71 ล้านเสียง น้อยกว่าตอนที่ไบเดนได้รับชัยชนะเมื่อปี 2020 ราว 10 ล้านเสียง
ผลเอ็กซิตโพลล์ชี้ สตรีอเมริกันส่วนใหญ่เลือกแฮร์ริส ในขณะที่ผู้ชายส่วนใหญ่เลือกทรัมป์ คนมีการศึกษาสูงกว่าส่วนใหญ่เลือกแฮร์ริส ขณะที่ผู้ที่ไม่จบระดับปริญญาตรีเลือกทรัมป์มากกว่า โดยปัจจุบันมีคนอเมริกันเกือบ 2 ใน 3 ที่ไม่จบปริญญาตรี
ในส่วนของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งผิวดำและกลุ่มผู้มีเชื้อสายละตินอเมริกา ซึ่งเคยเป็นฐานเสียงสำคัญของเดโมแครต ปรากฎว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ ต่างเทคะแนนให้ทรัมป์เพิ่มขึ้นจากปี 2020 กล่าวคือ คนอเมริกันผิวดำลงคะแนนให้ทรัมป์ 16% เพิ่มขึ้นจากสี่ปีก่อนราวสองเท่า ขณะที่ผู้มีเชื้อสายละตินอเมริกาออกเสียงให้ทรัมป์ 42% เพิ่มจากระดับ 35% เมื่อปี 2020
ในวันที่ 20 มกราคม ปีหน้า ทรัมป์จะปฏิญาณตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 หลังจากที่เคยดำรงตำแหน่งนี้มาแล้วระหว่างปี 2017 - 2021 ถือเป็นประธานาธิบดีคนที่สองในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน ต่อจากโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ที่ได้กลับมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ หลังจากเว้นช่วงไป
นอกจากนี้ ทรัมป์ในวัย 78 ปียังจะทำสถิติใหม่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อายุมากที่สุดที่เข้ารับตำแหน่ง
เข้าพบไบเดนที่ทำเนียบขาว - ทรัมป์เริ่มเผยรายชื่อคณะทำงาน
ทำเนียบขาวระบุว่า ทรัมป์จะพบกับประธานาธิบดีไบเดนที่ทำเนียบขาวในวันพุธนี้ ในขณะที่เหลือเวลาอีกราว 2 เดือนที่ไบเดนจะอยู่ในตำแหน่งก่อนที่จะถึงวันปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์
เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคาะชื่อแรกของโผทีมงานสำหรับรัฐบาลใหม่ด้วยการประกาศชื่อ ซูซี ไวลส์ เป็นหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ซึ่งจะเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำงานในตำแหน่งนี้ ตามการรายงานของเอพี
ไวลส์ เป็นผู้จัดการการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของทรัมป์ในครั้งนี้ และเป็นที่ยอมรับในวงกว้างทั้งจากวงนอกและวงในของว่าที่ผู้นำคนใหม่ว่าอยู่เบื้องหลังการหาเสียงที่มีประสิทธิภาพ และช่วยทำให้แคมเปญหาเสียงของทรัมป์มีระบบระเบียบ
และในวันเสาร์ ทรัมป์กล่าวว่า อดีตผู้ที่เคยทำงานให้ตนในคณะรัฐมนตรีสมัยแรกสองคน คือ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ไมค์ พอมเพโอ และอดีตทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ นิกกี เฮลีย์ จะไม่อยู่ในโผคณะทำงานชุดใหม่นี้
โดยอดีตทูตอเมริกันประจำเยอรมนี ริชาร์ด เกรเนลล์ อยู่ในรายชื่อผู้ที่จะรับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ เช่นเดียวกันวุฒิสมาชิกรัฐฟลอริดา มาร์โค รูบิโอ ก็อยู่ในโผเช่นกัน
โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี จูเนียร์ ผู้เคยลงสมัครในฐานะชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในฐานะผู้สมัครอิสระ และเป็นผู้รณรงค์ต่อต้านการฉีดวัคซีน ได้รับการคาดหมายว่าอาจจะอยู่ในรายชื่อรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของทรัมป์ 2.0 ด้วย โดยเขายืนยันกับสำนักข่าวเอ็นบีซีเมื่อวันพุธว่า เขาจะไม่ยกเลิกการฉีดวัคซีนในประเทศนี้แต่อย่างใด
ส่วน อิลอน มัสก์ มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก อาจอยู่ในโผผู้ที่ดูแลหน่วยงานด้วยการตรวจสอบงบประมาณของรัฐบาลกลางเช่นกัน ที่มา: วีโอเอ และเอเอฟพี