สังคม
คะแนน SAT ยังจำเป็นหรือไม่ ในการสมัครเรียนต่อที่สหรัฐฯ?
SAT คือการสอบมาตรฐานสากล ที่วัดความถนัดวิชาภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมปลายเพื่อใช้ประกอบการยื่นสมัครเรียนในระดับอุดมศึกษา ซึ่งถูกลดความสำคัญลงไปในช่วงเกิดการระบาดใหญ่ของโควิด-19 แต่สำหรับการยื่นสมัครเรียนต่อในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี
SAT คือการสอบมาตรฐานสากล ที่วัดความถนัดวิชาภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมปลายเพื่อใช้ประกอบการยื่นสมัครเรียนในระดับอุดมศึกษา ซึ่งถูกลดความสำคัญลงไปในช่วงเกิดการระบาดใหญ่ของโควิด-19
แต่สำหรับการยื่นสมัครเรียนต่อในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2025 มีการตรวจสอบพบว่า สถานศึกษาจำนวนมาก รวมถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น เยล (Yale) ฮาร์วาร์ด (Harvard) และ แคลเทค (Caltech) กลับมาพิจารณาคะแนนสอบ SAT อีกครั้ง
พริสซิลลา รอดริเกซ จากองค์กรไม่แสวงผลกำไร คอลเลจ บอร์ด (College Board) ที่ดูแลการสอบ SAT ชี้ว่ามหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีแนวโน้มกลับมาใช้คะแนนสอบดังกล่าวมากขึ้นแล้ว
รอดริเกซกล่าวว่า จากข้อมูลที่สถานศึกษาต่าง ๆ เปิดเผยออกมา การใช้คะแนนสอบ ทั้ง SAT และ ACT ช่วยในกระบวนคัดกรองผู้สมัคร ทำให้ได้กลุ่มนักเรียนที่มีความหลากหลายมากกว่า
แต่องค์กรกฏหมายเพื่อความยุติธรรมด้านเชื้อชาติ (NAACP Legal Defense Fund – LDF) วิจารณ์การทดสอบมาตรฐานอย่าง SAT ว่า มีข้อบกพร่อง โดยอ้างงานวิจัยว่า การสอบดังกล่าวก่อให้เกิด “การเลือกปฏิบัติ” ต่อผู้สมัคร ทั้งในเรื่องของเชื้อชาติ เพศ และรายได้
โอแยน พุน ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาจาก LDF กล่าวว่า แม้ผู้เกี่ยวข้องไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดให้กับองค์กร การตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลที่รายงานไปยังรัฐบาลกลางพบว่า มีหลายเรื่องที่ไม่สามารถยืนยันได้ และเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะมีความขัดแย้งกัน
เมื่อปี 2023 ศาลฎีกาสหรัฐฯ มีคำสั่งให้มหาวิทยาลัยจะต้องไม่นำประเด็นด้านเชื้อชาติของผู้สมัครมาใช้ในการพิจารณาการสมัครเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา แต่เหล่านักวิจารณ์กลับมองว่า คำตัดสินดังกล่าวและการใช้คะแนนสอบ SAT จะเป็นอุปสรรคในการเพิ่มความหลากหลายของนักเรียนในระดับชั้นปริญญาตรีมากขึ้นไปอีก
ข้อมูลจากองค์กรด้านการศึกษาไม่แสวงผลกำไร แฟร์เทสท์ (Fairtest) เผยว่า แม้สถานศึกษาหลายแห่งจะหันกลับมาใช้คะแนน SAT แต่ราว 80% ของสถาบันที่ได้รับการรับรองวิทยฐานะกลับกำหนดให้การยื่นคะแนน SAT เป็นแค่ตัวเลือกหรือไม่ก็ไม่มีการบังคับเลย
ทั้งนี้ สถิติล่าสุดจากกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ ระบุว่า มีสถาบันอุดมศึกษาที่นำเสนอแผนการเรียน 4 ปีในสหรัฐฯ อยู่เกือบ 3,000 แห่ง
เมื่อลองตรวจสอบดู ก็พบว่า สถาบันชั้นนำบางแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia) สแตนฟอร์ด (Stanford) และพรินซ์ตัน (Princeton) กำหนดให้การยื่นคะแนน SAT เป็นเพียงทางเลือกเท่านั้น ในขณะที่ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์ (UC Berkeley) และอีกเก้าวิทยาเขต ไม่มีการใช้คะแนน SAT เลย
ร็อบ ฟราเนค บรรณาธิการบริหารและผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาระดับสูง จากบริษัท เดอะ ปรินซ์ตันรีวิว (The Princeton Review) บอกว่า การสอบนี้ไม่ได้ชี้ว่า “คุณฉลาดแค่ไหน” แต่จะบอกได้ว่า “คุณรับมือได้ดีขนาดไหน” ในช่วงเวลาที่มีให้อย่างจำกัด
ผู้สื่อข่าว วีโอเอ ลองสอบถามความเห็นเกี่ยวกับการใช้คะแนนสอบนี้ และพบว่า บางคนมองว่าคะแนน SAT ควรเป็นทางเลือกเท่านั้น เพราะในความเป็นจริง พรสวรรค์ของคนไม่ได้จำกัดแค่การอ่านภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ ในขณะที่บางคนมองว่า การบังคับใช้คะแนน SAT ควรจะขึ้นอยู่กับสาขาวิชาที่สมัครเรียน
นับตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2024 ทาง College Board ได้ยกเลิกการสอบ SAT แบบดั้งเดิม จากการที่นักเรียนต้องฝนคำตอบลงในกระดาษ และใช้เวลาสอบนานถึงสามชั่วโมง มาสู่การสอบรูปแบบใหม่ที่จะใช้เวลาสั้นลง และสอบทางคอมพิวเตอร์สำหรับทั้งนักเรียนในสหรัฐฯ และนักเรียนที่อยู่ต่างประเทศ
ที่มา: วีโอเอ