เอเชีย
ปธน.เกาหลีใต้ประกาศ 'กฎอัยการศึกฉุกเฉิน' ก่อนยกเลิกหลังสภาโหวตคว่ำ
ประธานาธิบดียูน ซุก ยอล แห่งเกาหลีใต้ ประกาศ 'กฎอัยการศึกฉุกเฉิน' ในวันอังคาร โดยกล่าวหาว่าพรรคฝ่ายค้านพยายามควบคุมรัฐสภา เอนเอียงหาเกาหลีเหนือ และกระทำการต่อต้านรัฐซึ่งทำให้รัฐบาลเป็นอัมพาต ปธน.ยูน มีคำประกาศทางโทรทัศน์ โดยให้คำมั่นว่าจะ "กำจัดกลุ
ประธานาธิบดียูน ซุก ยอล แห่งเกาหลีใต้ ประกาศ 'กฎอัยการศึกฉุกเฉิน' ในวันอังคาร โดยกล่าวหาว่าพรรคฝ่ายค้านพยายามควบคุมรัฐสภา เอนเอียงหาเกาหลีเหนือ และกระทำการต่อต้านรัฐซึ่งทำให้รัฐบาลเป็นอัมพาต
ปธน.ยูน มีคำประกาศทางโทรทัศน์ โดยให้คำมั่นว่าจะ "กำจัดกลุ่มผู้สนับสนุนเกาหลีเหนือ และปกป้องระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ"
แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา รัฐสภาเกาหลีใต้ได้ลงมติยกเลิกกฎอัยการศึก โดยทางประธานสภาผู้แทนราษฎร วู วอน ชิก ประกาศว่า "สมาชิกรัฐสภาจะช่วยกันปกป้องประชาธิปไตย" พร้อมขอให้ตำรวจและทหารถอนกำลังออกจากบริเวณอาคารรัฐสภา
สำนักข่าวยอนฮับของเกาหลีใต้รายงานว่า หลังการประกาศกฎอัยการศึกฉุกเฉินโดยปธน.ยูน กองทัพเกาหลีใต้ได้สั่งห้ามการชุมนุมทางการเมืองเพื่อป้องกัน "ความสับสนทางสังคม" และส่งกำลังทหารไปยังรัฐสภาเพื่อควบคุมความสงบเรียบร้อย
หลังคำประกาศไม่นาน ประธานสภาฯ ได้มีประกาศฉุกเฉินทางช่องยูทูบ เพื่อให้สมาชิกสภาฯ เข้าร่วมประชุมลงมติที่รัฐสภา และขอให้ตำรวจและทหารอยู่ในความสงบ โดย ส.ส. ผู้ร่วมประชุม 190 คนได้ลงมติให้ยกเลิกกฎอัยการศึกทันที
ภายใต้กฎหมายเกาหลีใต้ กฎอัยการศึกนั้นสามารถยกเลิกได้หากผลการลงมติในรัฐสภาไม่เห็นด้วย
ก่อนที่ในเวลา 4.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นของเกาหลีใต้ ปธน.ยูน ประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก หลังมีมติไม่เห็นด้วยจากสภา ขณะที่มีรายงานผู้ชุมนุมลงถนนเพื่อคัดค้านการออกกฎอัยการศึกของผู้นำเกาหลีใต้
ทั้งหัวหน้าพรรคพลังประชาชน (People Power Party) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลแนวทางอนุรักษ์นิยม และพรรคประชาธิปไตย (Democratic Party) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ต่างออกมาตำหนิประธานาธิบดียูนที่ออกมาประกาศกฎอัยการศึกในครั้งนี้ โดยบอกว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง รวมทั้ง "ผิดกฎหมายและขัดกับรัฐธรรมนูญ"
ปธน.ยูน ผู้ซึ่งมีคะแนนนิยมลดลงในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ประสบอุปสรรคในการผลักดันวาระต่าง ๆ ผ่านรัฐสภาที่ครอบครองโดยพรรคฝ่ายค้าน นับตั้งแต่ขึ้นบริหารประเทศเมื่อปี 2022 ขณะที่พรรคพลังประชาชนของเขา ประสบความติดขัดในการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณสำหรับปีหน้า
ขณะเดียวกัน ตัวปธน.ยูน เองได้ออกมาปฏิเสธเสียงเรียกร้องให้มีการสืบสวนอิสระต่อข่าวอื้อฉาวที่พัวพันกับสตรีหมายเลขหนึ่ง และเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ จนก่อให้เกิดการวิจารณ์อย่างรุนแรงจากคู่แข่งทางการเมืองของเขา
การประกาศกฎอัยการศึกครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกาหลีใต้มีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเมื่อปี 1987
จุดเริ่มต้นของจุดจบทางการเมือง
ทั้งนี้ ปธน.ยูน ซึ่งคว้าชัยเลือกตั้งที่ขับเคี่ยวอย่างมากในเกาหลีใต้เมื่อปี 2022 ได้รับการยอมรับจากผู้นำชาติตะวันตก ในฐานะของพันธมิตรสหรัฐฯ ในความพยายามผนึกกำลังของประเทศประชาธิปไตยในการต่อสู้กับระบอบเผด็จการในจีน รัสเซีย และพื้นที่อื่น ๆ ในโลก แต่ในเกาหลีใต้แล้ว ปธน.ยูนถูกกล่าวหาว่าใช้มาตรการแข็งกร้าวในการบริหารประเทศ จากการปราบปรามการประท้วงในช่วงที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์มองว่า ประเด็นการใช้กฎอัยการศึกของผู้นำโสมขาว อาจส่งผลกระทบต่อเกาหลีใต้ในเวทีโลกได้ โดยเมสัน ริชีย์ อาจารย์จาก Hankuk University ในกรุงโซล บอกกับรอยเตอร์ว่า “สำหรับประธานาธิบดีที่มุ่งเน้นเรื่องชื่อเสียงในระดับสากลของเกาหลีใต้ สิ่งนี้ทำให้เกาหลีใต้ดูไร้เสถียรภาพอย่างมาก” และว่าสิ่งนี้จะส่งผลเชิงลบต่อตลาดเงินและค่าเงินวอน รวมทั้งจุดยืนด้านการทูตของโสมขาวในเวทีโลก
ส่วนนักการทูตชาติตะวันตกรายหนึ่งที่ไม่ประสงค์ออกนาม บอกกับรอยเตอร์ว่ากฎอัยการศึกจะทำให้การเจรจาเข้าร่วมหน่วยงานระหว่างประเทศของเกาหลีใต้เกิดความยากลำบากมากขึ้น
ด้านเจนนี ทาวน์ จากสถาบันคลังสมอง Stimson Center ให้ทัศนะกับรอยเตอร์ว่าท่าทีนี้ “ดูสิ้นหวังและอันตราย” และอาจเป็นจุดเริ่มของจุดจบในบทบาทประธานาธิบดีของยูนก็เป็นได้ โดยกล่าวว่า “เขาไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบอยู่แล้ว แต่นี่อาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้กระบวนการถอดถอนจากตำแหน่งเดินหน้าไปได้”
นับตั้งแต่ปธน.ยูนเข้ารับตำแหน่ง Varieties of Democracy Institute at the University of Gothenburg ในสวีเดน เผยรายงานประจำปีเมื่อเดือนมีนาคมว่า มีการดำเนินคดีที่เกี่ยวกับรัฐบาลชุดก่อนและการคุกคามความเท่าเทียมทางเพศ รวมทั้งลิดรอนสิทธิการแสดงความเห็นมากขึ้น จากที่ปธน.ยูนตอบโต้ผู้วิจารณ์ว่าเป็นการเผยแพร่ข่าวปลอม และยื่นฟ้องหมิ่นประมาทมากกว่าผู้นำคนอื่น ๆ อีกทั้งยังมีการกีดกันการทำงานของสื่อมวลชนอีกด้วย
นอกจากนี้ ในยุคของปธน.ยูน เกาหลีใต้ตกอันดับจาก 47 มาเป็น 62 ในดัชนี global press freedom index ของ Reporters Without Borders ที่มา: เอพี, รอยเตอร์