Rever Auto เปิดตัวแบรนด์ Denza พร้อมรถรุ่นแรก Denza D9
motortrivia ● เรเว่ ออโตโมทีฟ จัดงานเปิดตัวแบรนด์ “Denza” (เดนซ่า) พร้อมเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรก Denza D9 อย่างเป็นทางการในไทย เบื้องต้นการจำหน่ายจะแยกเป็น 2 รุ่นย่อย ประกอบด้วย Denza D9 Premium และ Denza D9 Performance AWD ทั้งคู่เปิด
motortrivia
● เรเว่ ออโตโมทีฟ จัดงานเปิดตัวแบรนด์ “Denza” (เดนซ่า) พร้อมเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรก Denza D9 อย่างเป็นทางการในไทย เบื้องต้นการจำหน่ายจะแยกเป็น 2 รุ่นย่อย ประกอบด้วย Denza D9 Premium และ Denza D9 Performance AWD ทั้งคู่เปิดราคาจำหน่ายพิเศษเฉพาะผู้ที่สั่งจองระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน – 31 ธันวาคม 2567 และรับรถภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 เท่านั้น โดยผู้ที่จองรุ่นท๊อป D9 Performance AWD ภายในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 และรับรถภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 จะได้รับโฮมชาร์จเจอร์ ABB พร้อมบริการติดตั้งฟรีเพิ่มเติม
● สำหรับแบรนด์ Denza นั้น ล่าสุดเป็นบริษัทลูกในเครือ BYD อย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ช่วงปี 2023 โดยมีการปรับโครงสร้างภายในให้ตัวแบรนด์อยู่ภายใต้ BYD 100% ปัจจุบันรถที่ทำตลาดมีอาทิรถ SUV ขนาดกลาง Denza N7, รถ SUV ขนาดกลาง Denza N8, รถหรูในกลุ่ม e-segment ท้ายลาดแบบฟาสท์แบค Denza Z9 GT และรถ MPV ฟูลไซส์ Denza D9 ซึ่งเปิดตัวในวันนี้ และนับเป็นรถขายดีในตลาดรถอเนกประสงค์ของจีนในปี 2023 สามารถเก็บยอดจองและยอดจำหน่ายได้มากกว่า 250,000 คัน
● ราคาจำหน่าย Denza D9 Premium แบบพิเศษเฉพาะช่วงเปิดตัวอยู่ที่ 1,999,900 บาท (จากราคาปกติ 2,399,900 บาท) ส่วนรุ่นท๊อป Denza D9 Performance AWD ราคา 2,699,900 บาท
Denza D9
● สำหรับ Denza D9 รถรุ่นแรกที่ทำตลาดในบ้านเรานั้น ตัวรถอยู่ในกลุ่มมินิแวน หรือ MPV ขนาดใหญ่ ซึ่งพัฒนาขึ้นบนแพลทฟอร์ม e-Platform 3.0 ของ BYD แบบโมดูล 8 in 1 (หมายถึงประสิทธิภาพของแพลทฟอร์มในการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า, แบตเตอรี่แพค, เทคโนโลยีชาร์จเร็ว, ระบบระบายความร้อน ฯลฯ) ขนาดตัวมีความยาว 5,250 มม. กว้าง 1,960 มม. สูง 1,920 มม. ระยะฐานล้อ 3,110 มม. รัศมีวงเลี้ยงแคบสุด 5.95 ม. พื้นที่บรรทุกสัมภาระ 410 ลิตร และสูงสุด 2,310 ลิตรเมื่อพับเบาะ
● ตัวรถออกแบบภายใต้แนวคิด Denza π-Motion เน้นความหรูหราด้วยรูปลักษณ์ที่ทันสมัย, ไฟหน้าทรง Meteor Arrow แบบ LED พร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ และระบบช่วยควบคุมไฟสูงอัจฉริยะ IHBC, ฟังก์ชัน Follow-Me-Home หน่วงเวลาปิดไฟหน้า, ระบบไฟส่องมุมอับสายตาแบบ LED เมื่อเปิดไฟเลี้ยว หรือหมุนพวงมาลัยเมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ, ไฟท้ายแบบ LED, ไฟเบรคดวงที่ 3 แบบ LED, ไฟเลี้ยวด้านหลังแบบ Sequential และไฟตกแต่งพอร์ทชาร์จไฟแบบมัลติคัลเลอร์
● ห้องโดยสาร VIP Cockpit เบาะ 3 แถว 7 ที่นั่ง เลย์เอาท์แบบ 2-2-3 อุปกรณ์มาตรฐานมี ฟังก์ชั่นแสดงข้อมูล W-HUD ขนาด 12 นิ้ว (รุ่น Performance AWD), มาตรวัดดิจิทัล LCD ขนาด 10.25 นิ้ว แบบ 3 มิติ, จอทัชสกรีนขนาด 15.6 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay® และ Android Auto แบบไร้สาย, รองรับคำสั่งเสียงอิสระ 4 โซน, รองรับการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 4G และการอัพเดทซอฟท์แวร์แบบ OTA, แท่นชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย กำลังสูงสุด 50 วัทท์ 3 ตำแหน่ง (ด้านหน้า 1 และด้านหลัง 2 สำหรับผู้โดยสารแถว 2), ระบบปรับอากาศแบบ 3 โซน พร้อมระบบกรองอากาศ IONIZER และระบบกรองฝุ่น PM2.5 แบบประสิทธิภาพสูง (CN95), ชุดเครื่องเสียงพรีเมียม Hi-Fi Class Dynaudio พร้อมสำโพง 14 ตำแหน่ง
● ต่อด้วยกระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ พร้อมกระจกมองหลังแบบสตรีมมิ่งจากกล้องมองภาพ (รุ่น Performance AWD), ระบบจดจำองศากระจกมองหลัง, ตู้เย็นความจุ 7.5 ลิตร ปรับช่วงองศาได้ตั้งแต่ -6 จนถึง 50 องศา และที่วางแก้วรอบคัน 12 ตำแหน่ง ครอบคลุมทุกที่นั่ง, เพดานบุผ้า (รุ่น Premium) หรือหนังกลับ (รุ่น Performance AWD), ประตูฝั่งผู้ขับและผู้โดยสารตอนหน้าแบบผ่อนแรงปิด และชุดไฟแอมเบียนท์สำหรับสร้างบรรยากาศ
● เบาะผู้ขับและผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบพนักพิงดันหลังด้วยไฟฟ้า 4 ทิศทาง, ระบบจดจำตำแหน่งเบาะผู้ขับ, เบาะแถว 2 ปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง พร้อมระบบพนักพิงดันหลังไฟฟ้า 4 ทิศทาง, เบาะทั้ง 2 แถวมาพร้อมระบบนวดไฟฟ้า และระบบระบายอากาศ พร้อมระบบจดจำตำแหน่งเบาะแถว 2 และมีจอ LCD แบบมัลติฟังก์ชันบริเวณที่พักแขนของเบาะแถว 2 สำหรับควบคุมฟังก์ชันต่างๆ, ประตูไฟฟ้าคู่สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง และประตูท้ายเปิด-ปิดไฟฟ้า สามารถตั้งค่าการจดจำตำแหน่งได้
● สะดวกด้วยแหล่งจ่ายไฟรอบคัน 7 จุด ประกอบด้วยช่องจ่ายไฟ 12V, พอร์ท USB Type-C และ USB Type-A อย่างละ 1 ตำแหน่งสำหรับผู้โดยสารด้านหน้า, พอร์ท USB Typr-C 2 ตำแหน่งสำหรับผู้โดยสารแถว 2, พอร์ท USB Type-C 2 ตำแหน่งสำหรับผู้โดยสารแถว 3, กระจกเปิด-ปิดอัตโนมัติแบบสัมผัสสวิทช์ครั้งเดียว พร้อมระบบป้องกันการหนีบ, กระจกมองข้างพับเก็บอัตโนมัติ และปรับองศาด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบไล่ฝ้า, ระบบ Keyless Entry และ Keyless Start, ระบบควบคุมการสตาร์ทรถระยะไกล, ระบบควบคุมการเปิดแอร์ล่วงหน้าระยะไกล, กุญแจดิจิทัล NFC สามารถใช้สมาร์ทโฟนเป็นกุญแจอัจฉริยะ และระบบกุญแจแบบบัตรอิเลคทรอนิคส์ NFC (NFC Card)
● ระบบขับเคลื่อนรุ่น Premium ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหน้า กำลังสูงสุด 230 กิโลวัทท์ (ประมาณ 308 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 36.6 กก.-ม. อัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ภายใน 9.5 วินาที
● รุ่น Performance AWD ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ All-wheel drive กำลังสูงสุด 275 กิโลวัทท์ (ประมาณ 368 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 47.8 กก.-ม. อัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ภายใน 6.9 วินาที
● ทั้งคู่ใช้แบตเตอรี่แพค BYD Blade Battery ความจุ 103.36 กิโลวัทท์-ชม. ชาร์จด้วยไฟกระแสสลับ (AC) สูงสุด 11 กิโลวัทท์ ชาร์จเร็วด้วยไฟกระแสตรง (DC) สูงสุด 166 กิโลวัทท์ รุ่น Premium ชาร์จเต็มวิ่งทำระยะทางได้ประมาณ 600 กม. จากการทดสอบตามมาตรฐาน NEDC (มาตรฐานเก่าของยุโรป) ส่วนรุ่น Performance AWD ชาร์จเต็มวิ่งทำระยะทางได้ประมาณ 580 กม.
● ทั้ง 2 รุ่นใช้ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็คเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลังแบบมัลติลิงก์ จุดที่ต่างกันก็คือ รุ่น Premium จะใช้ระบบกันสะเทือนแบบปรับอัตโนมัติตามความเร็ว FSD ส่วนรุ่น Performance AWD จะใช้แดมเปอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ DiSus-C (หรือ Intelligent Damping Body Control System)
● ระบบความปลอดภัยมี ระบบช่วยขับอัจฉริยะ Intelligent Driving, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันอัจฉริยะ ICC, ระบบช่วยเตือนเมื่อออกนอกเลน LDW, ระบบช่วยเตือนเมื่อขณะเปลี่ยนเลน LCA, ระบบตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ขับ DMS, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HHC, ระบบช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC, เซนเซอร์ตรวจจับวัตถุรอบคัน 8 จุด, กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา, ระบบช่วยเตือนจุดอับสายตา BSD, ระบบช่วยเตือนวัตถุเคลื่อนผ่านขณะเปิดประตู DOW, ระบบจดจำป้ายสัญญาณจราจร TSR, ระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้า FCW, ระบบช่วยเตือนการชนด้านหลัง RCW
● ต่อด้วยระบบช่วยรักษาตำแหน่งรถในช่องทางเดินรถฉุกเฉิน ELKA, ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB, ระบบช่วยช่วยกระจายแรงเบรคอัจฉริยะ HBA, ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านจุดอับสายตาด้านหน้า FCTA, ระบบช่วยเบรคเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านจุดอับสายตาด้านหน้า FCTB, ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA, ระบบช่วยเบรคเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTB,
● ปิดท้ายด้วยระบบช่วยควบคุมและช่วยป้องกันการพลิกคว่ำ RMI, ระบบควบคุมการทรงตัว ESC, ระบบป้องกันการลื่นไถล TCS, ระบบกระจายแรงเบรค EBD, ถุงลมนิรภัยคู่หน้าฝั่งผู้ขับและผู้โดยสารตอนหน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้างฝั่งผู้ขับและผู้โดยสารตอนหน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับผู้โดยสารแถว 2, ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้างฝั่งผู้ขับและผู้โดยสารตอนหน้า รวมถึงผู้โดยสารแถว 2 และแถว 3
● นายหลิว เสวียเลี่ยง ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขาย ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี จำกัด กล่าวว่า “การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ในประเทศไทยในช่วงสองถึงสามปีให้หลังสะท้อนถึงศักยภาพที่รอการปลดปล่อยของตลาดพรีเมียมซึ่งยังคงมีพื้นที่ให้ขยายตัวตามการเติบโตทางเศรษฐกิจในกลุ่มผู้บริโภคในตลาดระดับบน เรายินดีอย่างยิ่งที่ได้สานต่อความสำเร็จกับพันธมิตรระยะยาวอย่างเรเว่ ออโตโมทีฟ กับการเปิดตัวแบรนด์ Denza อย่างเป็นทางการเพื่อยกระดับประสบการณ์ขับขี่ให้ชาวไทยได้สัมผัสถึงความหรูหราในทุกมิติ เราเชื่อว่าแบรนด์ Denza จะเข้ามาสร้างสีสันและเพิ่มตัวเลือกผลิตภัณฑ์ยานยนต์ในตลาดให้กับผู้บริโภค กระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และผลักดันตลาดยานยนต์ลักชัวรี่พลังงานใหม่ในประเทศไทยให้เติบไตต่อไป”
● นายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยในปัจจุบัน ขับเคลื่อนด้วยความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคชาวไทยที่หันมาให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความยั่งยืน จึงยังเห็นการเติบโตและโอกาสของกลุ่มรถยนต์พลังงานใหม่ซึ่งรวมถึงรถไฟฟ้าพรีเมียม เรเว่ ออโตโมทีฟ ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ดียิ่งกว่าผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพพร้อมตัวเลือกที่หลากหลายสำหรับผู้บริโภคทุกกลุ่ม วันนี้ เราพร้อมแล้วที่จะพาชาวไทยไปสัมผัสอีกระดับของความหรูหรากับ Denza แบรนด์ยนตรกรรมพลังงานใหม่ระดับลักชัวรี่ ที่โดดเด่น ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย สมรรถนะที่ไม่เป็นรอง เทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยสูงสุด รวมถึงความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นำทัพโดย Denza D9 ซึ่งมาพร้อมดีไซน์ที่สะท้อนความโมเดิร์นและความหรูหรา เทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงระบบความปลอดภัยและระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ เราเชื่อว่า Denza D9 จะไม่เพียงมอบประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์และความมั่นใจให้กับทุกการเดินทาง แต่จะพลิกโฉมวงการยานยนต์ลักชัวรี่อเนกประสงค์ในไทยพร้อมกับสร้างความคึกคักให้กับทั้งอุตสาหกรรมส่งท้ายปีอย่างแน่นอน”
● นางสาวประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “การเปิดตัวแบรนด์ Denza นอกจากจะเป็นการนำแบรนด์ยนตรกรรมพลังงานใหม่มาสู่ตลาด ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเรเว่ในการสร้างระบบนิเวศ EV ที่ครอบคลุมยิ่งขึ้นในประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ EV ในรูปแบบต่างๆ ทั้งยังเป็นการสานต่อความตั้งใจที่จะเป็นหนึ่งกำลังสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจสีเขียว หรือ Green Economy ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมผ่านรถยนต์พลังงานใหม่ ควบคู่ไปกับการก้าวสู่อนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ตอกย้ำความเป็นผู้นำของเรเว่ที่พร้อมจะเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในระยะยาว ที่สำคัญ เราจะยังคงเดินหน้าเสริมสร้างความไว้วางใจและยกระดับประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับทั้งด้านการขายและการบริการหลังการขาย โดยมีโชว์รูมและศูนย์บริการเฉพาะของแบรนด์ Denza ที่จะพร้อมให้บริการระดับพรีเมียมกับลูกค้าทุกท่านให้เข้ามาสัมผัสนวัตกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ระดับลักชัวรี่ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป และจะทยอยเปิดเพิ่มเพื่อรองรับความต้องการใช้รถแบรนด์ Denza ในอนาคตต่อไป”
● ด้านงานบริการ โชว์รูมและศูนย์บริการจะตั้งอยู่ที่ย่านสำคัญในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใหญ่ในประเทศไทย เบื้องต้นเรเว่จะเปิดโชว์รูมในระยะแรกรวมทั้งหมด 10 แห่ง ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร 3 แห่ง ได้แก่ สาธุประดิษฐ์, เพชรบุรีตัดใหม่ และศรีนครินทร์ ส่วนต่างจังหวัดจะมีทั้งหมด 7 แห่ง ประกอบด้วย ระยอง, ชลบุรี, เชียงใหม่, ขอนแก่น, สงขลา, สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต
● สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเชิญได้ที่ Facebook : Denza Rever Thailand หรือ โทร. 02-045-8888 หรือเว็บไซท์ : www.reverautomotive.com ●
Grand Opening : 2024 Denza D9 (Official)
The post Rever Auto เปิดตัวแบรนด์ Denza พร้อมรถรุ่นแรก Denza D9 appeared first on motortrivia.