logologo

Easy Branches ให้คุณแบ่งปันโพสต์แขกของคุณภายในเครือข่ายของเราในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วโลก เริ่มแบ่งปันเรื่องราวของคุณวันนี้!

Easy Branches

34/17 Moo 3 Chao fah west Road, Phuket, Thailand, Phuket

Call: 076 367 766

info@easybranches.com
รถ

Mercedes-Benz / Mercedes-Maybach พรีวิว 6 ไฮไลต์รถหรู เตรียมโชว์ใน Motor Expo 2024

เรื่อง – วีดิโอ : นาธัส แสงสุริยะ ●  ก่อนงานแสดงรถยนต์งานใหญ่ปลายปีอย่าง มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2024 จะเริ่มขึ้นในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้สัมผัส รถไฮไลต์ 6 รุ่น อย่างใกล้ชิด ซึ่งมีทั้งรถในก

โดย: motortrivia.com

  • Nov 24 2024
  • 88
  • 4321 Views
Mercedes-Benz / Mercedes-Maybach พรีวิว 6 ไฮไลต์รถหรู เตรียมโชว์ใน Motor Expo 2024
Mercedes-Benz / Mercedes-Mayba

เรื่อง – วีดิโอ : นาธัส แสงสุริยะ

●  ก่อนงานแสดงรถยนต์งานใหญ่ปลายปีอย่าง มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2024 จะเริ่มขึ้นในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้สัมผัส รถไฮไลต์ 6 รุ่น อย่างใกล้ชิด ซึ่งมีทั้งรถในกลุ่ม Mercedes-Benz และ Mercedes-Maybach ที่เปิดตัวรถเอสยูวีไฟฟ้าเป็นครั้งแรกของแบรนด์ รวมทั้งออฟโรดระดับหรูอย่าง G-Class ก็มีรถใหม่เปิดตัวพร้อมกัน 2 รุ่น ไปดูกันครับว่ารถทั้ง 6 รุ่น มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง

1. Mercedes-Benz S 580 e AMG Premium

●  ยนตรกรรมระดับไอคอนิกในตระกูล S-Class จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ผสานทั้งสุนทรียภาพของการขับ ความสะดวกสบายของการโดยสาร ระบบความบันเทิง และความปลอดภัยในระดับเฟิร์สคลาส ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินแบบ 6 สูบเรียง ขนาด 2,999 ซีซี พร้อมเทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ กำลังสูงสุด 367 แรงม้าที่ 5,500-6,100 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600-4,500 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 150 แรงม้า แรงบิด 480 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันให้ กำลังสูงสุด 510 แรงม้า และแรงบิดรวมสูงสุด 750 นิวตันเมตร

●  ภายนอกถ่ายทอดทุกความสง่างามตามปรัชญา Sensual Purity งดงามและน่าหลงใหล ผ่านการออกแบบที่เรียบหรูแต่ทรงพลัง มีการตกแต่งรอบคันแบบ AMG Bodystyling อันเป็นเอกลักษณ์ของ AMG สะท้อนความหรูหราและความทันสมัย อุปกรณ์มาตรฐานครบครัน ทั้งไฟหน้า MULTIBEAM LED ผสานการทำงานร่วมกับระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist Plus) ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ALS (Active Light System) และระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (Cornering light)

●  กุญแจ KEYLESS-GO และ Seamless door handles ระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ โดยไม่ต้องใช้มือ (HANDS-FREE ACCESS) หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ เปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า มาพร้อมล้อแม็กดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ Multi-spoke ขนาด 20 นิ้ว และระบบช่วงล่างแบบถุงลม (AIRMATIC) พร้อมระบบควบคุมระดับอัตโนมัติ ที่ออกแบบมาเพื่อลดแรงกระแทกและเพิ่มความนุ่มนวล

●  ระบบควบคุมทิศทางตัวรถแบบเลี้ยว 4 ล้อ (Rear axle steering 4.5° ) ล้อหลังเลี้ยวได้มากถึง 4.5 องศา เพื่อช่วยเหลือกรณี U-turn และขณะเข้าจอดที่ความเร็วต่ำ ระบบจะหมุนล้อหลังไปในทิศทางตรงข้ามกับล้อหน้าได้สูงสุดถึง 4.5 องศา หากความเร็วเกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบนี้จะช่วยการทรงตัวขณะขับที่ความเร็วสูง โดยจะหมุนล้อหลังไปในทิศทางเดียวกันกับล้อหน้าไม่เกิน 3 องศา ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้งาน แต่เมื่อความเร็วสูงสุด ระบบจะเลี้ยวไม่เกิน 2.5 องศา ในทิศทางเดียวกันกับล้อหน้า

●  ห้องโดยสารของ S 580 e AMG Premium ออกแบบมาอย่างประณีตด้วยชุดตกแต่ง AMG Interior Package ที่เน้นความหรูหราและสปอร์ตอย่างลงตัว มาพร้อมเบาะหนัง Exclusive Nappa ตัดเย็บลายเบาะแบบ Diamond design พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ต 3 ก้าน หุ้มหนัง Nappa พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch Control พื้นที่ด้านบนของคอนโซลหน้าและส่วนกลางของแผงประตูกลางหุ้มหนัง Nappa พร้อมลายไม้ที่โดดเด่นบริเวณแผงประตู ช่องระบายอากาศ และด้านหลังของเบาะคู่หน้า มีระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย (Wireless Charging) สำหรับที่นั่งด้านหลัง และระบบช่วยเหลือภายในห้องโดยสาร MBUX Interior Assistant ที่สามารถจดจำท่าทางเฉพาะบุคคล เพื่อเรียกใช้งานฟังก์ชั่นที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้าอย่างง่ายดาย

●  ระบบมัลติมีเดีย MBUX Entertainment พร้อมเชื่อมต่อ Music streaming service ระบบแผนที่นําทางและสภาพการจราจร Live traffic information ฟังก์ชั่นสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยโทรศัพท์มือถือ (Remote Engine Start) อุปกรณ์สื่อสารด้วยสัญญาณ LTE สําหรับบริการ Mercedes me connect ผู้โดยสารด้านหลังสามารถเพลิดเพลินไปกับระบบมัลติมีเดีย MBUX พร้อมจอแสดงผล 2 ตําแหน่ง และระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® 3D Surround sound system ด้วยลําโพงคุณภาพสูงถึง 15 ตัว พร้อมระบบปรับรูปแบบเครื่องเสียงแบบส่วนตัว (Sound personalization)

●  ระบบความปลอดภัยครบครัน อาทิ ระบบช่วยเหลือการขับ Driving Assistance Package ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist DISTRONIC) ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร (Active Lane Keeping Assist) ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉิน (Active Emergency Stop Assist) ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Active Blind Spot Assist) ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับ (ATTENTION ASSIST) โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® (Electronic Stability Program) และระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ พร้อมกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง และฟังก์ชั่น Active Parking Assist ฯลฯ

●  S 580 e AMG Premium มีสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีดำ (Obsidian Black) สีเงิน (High-Tech Silver) สีขาว (MANUFAKTUR Opalite White Bright) ราคา 7,580,000 บาท

2. Mercedes-Maybach S 580 e

●  Mercedes-Maybach S 580 e ยนตรกรรมระดับไฮเอนด์ลักชัวรี ครั้งแรกกับรุ่นประกอบในประเทศไทยและถือเป็นประเทศแรกที่ขึ้นไลน์ผลิตตัวถังสีทูโทนแบบ Local Production ระบบขับเคลื่อนแบบปลั๊ก-อินไฮบริด ใช้เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 6 สูบ พร้อมเทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุดถึง 367 แรงม้าที่ 5,500-6,100 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600-4,500 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 150 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันให้กำลังสูงสุดถึง 510 แรงม้า แรงบิด 750 นิวตันเมตร

●  แบตเตอรี่ Lithium-ion แรงดันสูงขนาด 28.6 kWh ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลกว่า 100 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC Charge) สูงสุด 60 kWh ใช้เวลา 30 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จ 2 ชั่วโมง 30 นาที

●  ระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC) พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 5.7 วินาที

●  ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นสง่างาม กระจังหน้าโครเมียมแบบ Radiator grille และตราสัญลักษณ์ Maybach อันเป็นเอกลักษณ์ ล้อมรอบด้วยกระจกแบบ Laminated glass สะท้อนความร้อน ป้องกันรังสีอินฟาเรดและเสียงจากภายนอก ไฟหน้า DIGITAL LIGHT และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist Plus ผสานการทำงานด้วยระบบปรับโคมไฟหน้าตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ALS (Active Light System) ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (Cornering light) และไฟท้ายดีไซน์ใหม่พิเศษแบบ LED พร้อมเทคโนโลยี Fibre-optic ล้อ MAYBACH แบบ Forge wheels ขนาด 20 นิ้ว และระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (AIRMATIC) เพื่อช่วงล่างที่นุ่มนวล สามารถปรับตั้งค่าให้เหมาะสมกับสภาพการขับ ความเร็ว และการบรรทุกสัมภาระได้อัตโนมัติ

●  แผงคอนโซลกลางแบบ Black crystal-look finish ติดตั้งหน้าจอแสดงผลบริเวณคอนโซลกลาง OLED ขนาด 12.8 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับแบบ Digital ที่สามารถปรับรูปแบบการแสดงผลได้ 3 รูปแบบ ตกแต่งบริเวณโครงหลังคาอย่างปราณีตด้วย DINAMICA microfibre คุณภาพสูง พวงมาลัย 3 ก้านแบบใหม่ Wood/Leather Multifunction เพิ่มการตกแต่งลายไม้หลังเบาะผู้โดยสารตอนหน้าแบบ MANUFAKTUR black piano lacquer trim ที่มีเส้นสายโค้งไหลลื่น

●  เบาะหลังแบบเฟิร์สคลาส พร้อมฟังก์ชั่นการนวด ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMOTRONIC แบบ 4-ZONE ฟังก์ชั่นปรับสมดุลอากาศภายในห้องโดยสาร (AIR BALANCE package) ระบบฟอกอากาศแบบ HEPA filter และระบบตรวจวัดระดับฝุ่นละอองขนาด PM 2.5 เพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุดของผู้ขับและผู้โดยสาร

●  ติดตั้งระบบความบันเทิงและการสื่อสารล้ำสมัย ควบคุมและสั่งการทุกอย่างราวกับมีผู้ช่วยส่วนตัวด้วยระบบ MBUX Interior Assistant อันชาญฉลาดเพื่อผู้โดยสารด้านหลัง รวมถึงระบบปฏิบัติการมัลติมีเดียแบบ MBUX ที่เชื่อมต่อ Music streaming service ระบบแผนที่นำทาง และระบบตรวจสอบสภาพการจราจร Live Traffic Information ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® 3D surround sound system ผสานการทำงานกับ Ambient lighting สร้างบรรยากาศด้วยระบบไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารกว่า 64 เฉดสี ที่สามารถปรับแต่งได้หลากหลายรูปแบบ รวมถึง 2 เฉดสีพิเศษ ได้แก่ สี Twinkle-star และสี Rosé gold ที่มีเฉพาะใน Mercedes-Maybach เท่านั้น

●  ความพิเศษในรูปแบบใหม่ของรถรุ่นนี้ คือ โปรแกรมการขับแบบ “Maybach” ที่ออกแบบมาเพื่อมอบความผ่อนคลายขณะเดินทางให้ผู้โดยสารด้านหลังโดยเฉพาะ โดยจะเน้นการเคลื่อนที่ของระบบช่วงล่างและควบคุมแรงสั่นสะเทือนของรถยนต์ เพื่อมอบการขับที่นุ่มสบายที่สุด ปรับการควบคุมคันเร่งเพื่อการออกตัวที่นุ่มนวล ส่วนโปรแกรมการขับแบบ “COMFORT” ก็จะมอบสมดุลการขับที่สะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และยังมีอีกหลายโหมดให้เลือกใช้งานตามความต้องการ ด้วยระบบปรับรูปแบบการขับ DYNAMIC SELECT

●  เทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยจัดมาให้เต็มพิกัด ทั้งระบบขอความช่วยเหลืออัตโนมัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ระบบช่วยเหลือการขับ Driving Assistance package ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉิน (Active Emergency Stop Assist) ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัยและเตือนเมื่อปล่อยมือ (Active Steering Assist with hands-off warning) และระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชั่น HOLD และ Hill-Start Assist ฯลฯ นอกจากนี้ ยังติดตั้งระบบช่วยจอด Active Parking Assist with PARKTRONIC พร้อมกล้อง 360° ที่จะช่วยนำรถเข้าจอดได้อย่างง่ายดายผ่านการส่งสัญญาณเสียงและการแสดงภาพรอบทิศทางผ่านกล้อง 360° ที่มีความแม่นยำสูง เพื่อช่วยควบคุมการจอดรถได้อย่างสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น

●  Mercedes-Maybach S 580 e มาพร้อมสีทูโทนใหม่ คือ High-tech Silver ต่อ Selenite Grey ราคาเริ่มต้น 11,300,000 บาท

3. Mercedes-Maybach EQS 680 SUV

●  รถยนต์ไฟฟ้า BEV (Battery electric vehicle) รุ่นแรกภายใต้แบรนด์ Mercedes-Maybach มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ PSM (Permanently Excited Synchronous Motors) ติดตั้งบริเวณเพลาขับหน้าและหลัง ให้กำลังสูงสุด 658 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 950 นิวตันเมตร ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Fully-variable 4MATIC+ All-wheel drive เร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 4.4 วินาที แบตเตอรี่ Lithium-ion แบบ High-voltage ความจุ 118.0 kWh ชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ขับได้ 615 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP

●  โดดเด่นด้วยระบบไฟหน้า DIGITAL LIGHT สามารถปรับความสว่างได้อัตโนมัติตามสภาพแวดล้อมและการจราจร ระบบประตูแบบ Soft Close พร้อมประตูไฟฟ้า Electric Door ทั้ง 4 บาน และเป็นครั้งแรกที่มาพร้อมระบบ KEYLESS-GO Convenience Package Plus สามารถเปิด-ปิดและควบคุมประตูได้ทั้งบานคู่หน้าและคู่หลัง โดยประตูไฟฟ้าสามารถทำงานได้แม้อยู่บนทางลาดชัน และทำงานร่วมกับระบบแจ้งเตือนอันตรายก่อนการเปิด-ปิดประตูรถ ทมาพร้อม Rear axle steering 10° ล้อหลังสามารถเลี้ยวได้มากถึง 10 องศา ช่วยให้การขับคล่องตัวและเลี้ยวได้อย่างง่ายดายแม้ในพื้นที่แคบ

●  ในห้องโดยสารติดตั้งหน้าจอ MBUX Hyperscreen ยาวต่อเนื่องกันถึง 56 นิ้ว ออกแบบตามแนวคิด Zero Layer concept พร้อมกระจกป้องกันรอยขีดข่วนคุณภาพสูง Gorilla® Glass แผ่นเดียวต่อเนื่องตลอดทั้งหน้าจอ โดยแบ่งการใช้งานเป็น 3 ส่วน ได้แก่ หน้าจอ Driver Display แบบ LED Matrix backlighting ขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจอ Central Display แบบ OLED ขนาด 17.7 นิ้ว และ หน้าจอ Co-driver Display แบบ OLED ขนาด 12.3 นิ้ว ซึ่งแสดงผลได้คมชัดยิ่งขึ้น ผู้โดยสารสามารถใช้หน้าจอ Co-driver Display ในการช่วยเหลือผู้ขับ โดยสามารถตั้งค่า ตรวจสอบสถานะต่างๆ ของรถ ค้นหาแผนที่ และใช้งานสื่อบันเทิงได้โดยไม่รบกวนผู้ขับ ควบคุมหน้าจอด้วยระบบปฏิบัติการ MBUX เจเนอเรชันที่ 2 ภายใต้ระบบ NTG7 รองรับคำสั่งเสียง 27 ภาษา

●  พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง Exclusive Nappa Leather เบาะนั่งพิเศษ Active Multi-Contour มีระบบนวดกว่า 10 โปรแกรม แบบ ENERGIZING massage function และระบบปรับอุณหภูมิเบาะแบบ Climate seats ได้ทั้งแบบอุ่นและแบบเย็น ทั้งยังสามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก เช่น PM 2.5 อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยระบบฟอกอากาศ ENERGIZING AIR CONTROL พร้อม HEPA FILTER ผสานการทำงานร่วมกับ AIR BALANCE PACKAGE ในการมอบบรรยากาศในห้องโดยสารที่สดชื่น

●  ฟีเจอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ประกอบด้วยหน้าจอแบบ MBUX High-End Rear Seat Entertainment 2 หน้าจอ ขนาด 11.6 นิ้ว ควบคุมด้วยระบบสัมผัสแบบ Multi-touch ที่ใช้งานเว็บเบราว์เซอร์หรือ YouTube ได้อย่างง่ายดาย เล่นเสียงผ่านเครื่องเสียงภายในรถ หรือผ่านหูฟังแบบ Bluetooth Audio พร้อมรองรับการเชื่อมต่อภาพและเสียงแบบ Mini HDMI มาพร้อม MBUX rear tablet หน้าจอขนาด 7.4 นิ้ว แบบ HD-resolution Display สามารถสลับการใช้งานได้ระหว่าง MBUX และ Android โดยแท็บเล็ตจะเชื่อมต่อและควบคุมหน้าจอต่างๆ ภายในรถผ่านสัญญาณ Wi-Fi สามารถควบคุมการเปิด-ปิดม่าน ระบบปรับอากาศ ระบบ Climate seat และระบบนวดสำหรับที่นั่งตอนหลังได้ ติดตั้งตู้เย็นบริเวณด้านหลังที่เท้าแขนของผู้โดยสารตอนหลัง ความจุ 10 ลิตร พร้อมปุ่มควบคุมอุณหภูมิ (+7°C ถึง +1°C) ออกแบบพิเศษสำหรับแช่แชมเปญได้ 2 ขวด พร้อมที่วางแก้วแชมเปญสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

●  ระบบเสียง Burmester® 4D surround sound system ลำโพงคุณภาพสูงกว่า 15 ตัว แบบ Premium Speakers ติดตั้ง Amplifier Channels ให้กำลังขับสูงสุด 790 วัตต์ พร้อม Dolby Atmos® และหูฟังไร้สายความละเอียดสูง พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation

●  ระบบความปลอดภัย Assistance Package ครบครัน อาทิ ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist DISTRONIC) ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร (Active Lane Keeping Assist) Active Steering Assist ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Active Blind Spot Assist) ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัย (Active Steering Assist) และ Parking Package พร้อมกล้องรอบคัน 360° ฯลฯ 

●  สีภายนอกมีทั้งแบบแบบ Non-Metallic Paints 2 สี ได้แก่ สีดำ (Black) และสีขาว (Polar White) และสีแบบ Metallic Paints 6 สี ได้แก่ สีดำ (Obsidian Black) สีน้ำตาล (Velvet Brown) สีน้ำเงิน (Sodalite Blue) สีเงิน (High-tech Silver) สีเขียว (Emerald Green) และสีเทา (Selenite Grey) ส่วน MANUFAKTUR Paints Finish ทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีขาว (MANUFAKTUR Opalite White Bright) และสีเทา (MANUFAKTUR Alpine Grey Solid)

●  นอกจากนี้ ยังสามารถเลือก Optional Extra เป็นสีทูโทน อาทิ Selenite Grey ต่อ Obsidian Black, Nautic Blueต่อHigh-tech Silver, Obsidian Blackต่อHigh-tech Silver, MANUFAKTUR Kalahari Gold Metallicต่อObsidian Black และ Onyx Blackต่อSatin Brown

●  Mercedes-Maybach EQS 680 SUV ราคาจำหน่ายเริ่มต้น 12,500,000 บาท

4. Mercedes-Benz G 580 with EQ Technology

●  ครั้งแรกกับการสานต่อตำนาน 45 ปี ของ G-Class เจ้าของฉายา “King of Off-Road” ผสมผสานสมรรถนะระดับสูง และความหรูหราตามแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ แต่ยังคงความคลาสสิกด้วยรูปลักษณ์สไตล์ทรงกล่องได้อย่างลงตัว มอบความสมบูรณ์แบบด้านการขับและการใช้งานในชีวิตประจำวัน​ที่มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ “STANDARD” และ “EDITION ONE” มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว แยกติดตั้งทั้ง 4 ล้อ ให้กำลังสูงสุด 587 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1,164 นิวตันเมตร เร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขับเคลื่อน 4 ล้อ All-wheel drive แบตเตอรี่เต็มขับได้ 473 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC charge) 200 kWh ใช้เวลาชาร์จเพียง 32 นาทีจาก 10-80 เปอร์เซ็นต์ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0-100 เปอร์เซ็นต์ในระยะเวลา 11 ชั่วโมง 45 นาที

●  โครงสร้างตัวถังนิรภัยมแข็งแรงและทนทานในทุกสภาวะ ใช้เหล็กกล้าที่มีความหนากว่า 3.4 มิลลิเมตร เพื่อปกป้องและลดการบิดตัวของห้องโดยสาร เสริมความแกร่งด้วยโครงสร้างพิเศษแบบ Carbon-fibre skid plate ที่มีความหนา 3 เซนติเมตร เพื่อปกป้องแบตเตอรี่แบบ High-voltage ตอบสนองทุกการขับทั้งแบบ On-road และ Off-road ที่มามาพร้อม G-TURN ซึ่งเป็นระบบการกลับรถรูปแบบใหม่ที่สามารถหมุนรถได้ถึง 720 องศา หรือ 2 รอบ ช่วยให้ตัวรถสามารถหมุนตัวกลับได้ในทันที และระบบการเข้าโค้งแบบ G-STEERING ช่วยลดรัศมีวงเลี้ยวให้แคบลง โดยสั่งการให้แต่ละล้อเพิ่มหรือลดกำลังอย่างอิสระตามสถานการณ์ ในความเร็วไม่เกิน 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้การเข้าโค้งง่ายดายกว่าที่เคย โดยทั้งสองระบบนี้จะจำกัดให้สามารถทำงานได้บนพื้นถนนที่เป็น Off-road แบบถนนทรายหรือถนนเปียกเท่านั้น 

●  ELECTRIC DYNAMIC SELECT เป็นโปรแกรมรูปแบบการขับ ที่มีให้เลือกมากถึง 5 แบบได้แก่ Comfort, Sport, Individual, Trail และ Rock โดยการใช้งานโปรแกรมการขับ LOW RANGE จะใช้ได้ในโหมด Rock เท่านั้น

●  ใช้เทคโนโลยีไฟหน้า MULTIBEAM LED ตรวจจับทางโค้งและมุมอับสายตา ทำงานกับฟังก์ชั่น ULTRA RANGE Highbeam ปรับความสว่างของไฟหน้าให้ส่องได้ไกลกว่า 650 เมตร โดยอัตโนมัติหากไม่พบรถยนต์ที่วิ่งสวนทาง ช่วยให้การขับรถทางไกลนอกเมืองเป็นไปอย่างราบรื่น มาพร้อมระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (ILS-Intelligent Light System) ที่จะปรับเปลี่ยนการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์การขับและรูปแบบของถนน ระบบ ALS (Active Light System) ปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ระบบ Cornering Light เพิ่มการส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง และระบบ Adaptive Highbeam Assist ปรับไฟสูงอัตโนมัติไม่ให้รบกวนสายตาของผู้ขับเลนตรงข้าม 

●  ระบบช่วงล่างแบบ Suspension with adaptive damping adjustment ปรับเปลี่ยนรูปแบบการตอบสนองผ่านโหมดการขับต่างๆ รวมถึงปรับตาม Differential locks ที่กำลังใช้งานอยู่ ณ ขณะนั้น ให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง เมื่อขับบนถนนเรียบ ระบบจะปรับช่วงล่างให้มีการตอบสนองต่ำ เพื่อลดแรงสะเทือนและเสียงดังที่เกิดจากยาง แต่เมื่อขับบนถนนขรุขระ ระบบจะปรับช่วงล่างให้มีการตอบสนองสูงขึ้น เพื่อความรู้สึกนุ่มนวลและสะดวกสบายตลอดการเดินทาง 

●  ระบบความบันเทิงมาพร้อมระบบปฏิบัติการ MBUX7 ทำงานโดยใช้ AI ที่จะจดจำรูปแบบการใช้งาน และปรับการตั้งค่าให้เหมาะสมกับผู้ขับแต่ละคน ติดตั้งหน้าจอความละเอียดสูงพร้อมระบบควบคุมแบบสัมผัส ขนาด 12.35 นิ้ว สามารถควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ผ่านการสัมผัสและแสดงข้อมูลที่ชัดเจน เช่น ระบบนำทางและการเชื่อมต่อมัลติมีเดีย และรองรับการสั่งงานด้วยเสียง เจเนอเรชั่นใหม่ได้ถึง 27 ภาษา ระบบเสียง Burmester® 3D surround sound system ทรงพลังด้วยลำโพงคุณภาพสูง 18 ตัว DSP 16 Amplifier channels รอบห้องโดยสารด้วยกำลังขับขนาด 760 วัตต์ ถ่ายทอดเสียงอันไพเราะด้วยโหมดเสียงพิเศษแบบ Pure & 3D-Sound ที่ Burmester® ออกแบบมาสำหรับ The new G-Class โดยเฉพาะ 

●  ระบบความปลอดภัย Assistance Package แบบจัดเต็ม อาทิ ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist DISTRONIC) ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร (Active Lane Keeping Assist) Active Steering Assist, ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Active Blind Spot Assist) ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัย (Active Steering Assist) และ Parking Package พร้อมกล้องรอบคัน 360° ฯลฯ 

●  รุ่นพิเศษ EDITION ONE ที่ยกระดับฟีเจอร์ต่างๆ ไปอีกขั้น อาทิ ระบบกุญแจ KEYLESS-GO ชุดแต่งภายนอกรอบคันแบบ AMG Bodystyling ชุดแต่ง Night Package และ MANUFAKTUR logo package in black โดยจะมีสัญลักษณ์รูปตัว G เพื่อสื่อถึงไอคอนิกของ G-Class ทุกตำแหน่ง เช่น มือจับประตู ไฟส่องที่พื้น และด้านหลังของที่เก็บสัมภาระ ทั้งยังเพิ่มความโดดเด่นด้วยเส้นด้านข้างของตัวรถ ซึ่งจะถูกตกแต่งด้วยสีเงินและสีน้ำเงิน มาพร้อมกันชนหน้าและคาลิปเปอร์ที่ตกแต่งด้วยสีน้ำเงินเช่นกัน ช่วงล่างติดตั้งล้ออัลลอย AMG 10-spoke ขนาด 20 นิ้ว ที่มีรูปแบบให้เลือกมากยิ่งขึ้นตามความชื่นชอบของผู้ขับ  

●  ดีไซน์ภายในของรุ่น EDITION ONE มีการตกแต่งแบบ AMG Interior มาพร้อมเบาะนั่งทูโทนตัดสลับสีเงิน และเดินด้วยด้ายสีน้ำเงินทั้งคัน พร้อมกับ Trim Carbon-fibre แบบพิเศษ ที่ตกแต่งด้วยสีน้ำเงิน รวมถึงการเพิ่ม Active Multi Contour Seat ของเบาะนั่งคู่หน้า ช่วยให้ทุกการขับและการโดยสารเป็นไปอย่างสะดวกสบาย

●  Mercedes-Benz G 580 with EQ Technology STANDARD มีสีตัวถังให้เลือกทั้ง Metallic Paints และ Non-Metallic Paints กว่า 8 สี, MANUFAKTUR Metallic Paints 8 สี, MANUFAKTUR Non-Metallic Paints 6 สี, MANUFAKTUR Bright Paints 1 สี, MANUFAKTUR Magno Paints 10 สี MANUFAKTUR Exclusive Magno Paints 3 สี และสีน้ำเงิน  (MANUFAKTUR South Sea Blue Magno) ซึ่งเป็นสีเฉพาะสำหรับ Mercedes-Benz G 580 with EQ Technology อย่างเดียวเท่านั้น ราคาเริ่มต้น 9,500,000 บาท

●  Mercedes-Benz G 580 with EQ Technology EDITION ONE มีสีตัวถังพิเศษให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีดำ (Obsidian Black Metallic) สีน้ำเงิน (MANUFAKTUR South Seas Blue Magno) สีขาว (MANUFAKTUR Opalite White Bright) และสีเทา (MANUFAKTUR Classic Grey Non-metallic) ราคาเริ่มต้น 12,200,000 บาท

5. Mercedes-Benz G 450 d

●  เอสยูวีขนาดใหญ่สำหรับผู้ที่หลงใหลในเสียงเครื่องยนต์ดีเซลอันทรงพลัง มาพร้อมดีไซน์ดุดันในแบบ G-Class โดดเด่นด้วยเครื่องยนต์ดีเซลรหัส OM 656M ความจุ 2,989 ซีซี พ่วงระบบ ISG2 (Integrated Starter Generator) ที่ให้พลังรวมสูงสุด 367 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดถึง 750 นิวตันเมตร ที่ 1,350-2,800 รอบต่อนาที อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 5.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบขับเคลื่อนที่พัฒนาขึ้นใหม่ ทำให้โดดเด่นทั้งด้านสมรรถนะการขับ และการประหยัดพลังงานไปอีกขั้น

●  ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นด้วยชุดแต่ง AMG Line รอบคัน ด้านบนติดตั้งหลังคาพาโนรามิคซันรูฟแบบเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ล้อ AMG ที่ถูกออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยในการขับ แต่ยังคงความสปอร์ต มาพร้อมระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO สามารถเข้าออกตัวรถได้เพียงถือกุญแจไว้ใกล้ตัว ระบบจะทำการปลดล็อกประตูโดยอัตโนมัติ และสามารถกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ทันที New A-pillar และสปอยเลอร์เหนือกระจกหน้าได้รับการออกแบบใหม่ ลดเสียงรบกวนจากลมและการสั่นสะเทือน

●  ดีไซน์ภายในแบบ EXCLUSIVE Line Interior มอบความรู้สึกแบบสปอร์ตและพรีเมียมในทุกการเดินทาง ห้องโดยสารตกแต่งพิเศษสะท้อนถึงเอกลักษณ์ของ AMG ไม่ว่าจะเป็น พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นรุ่นใหม่พร้อมแผงควบคุมแบบสัมผัส เบาะนั่งแบบหนัง แผงหน้าปัด อีกทั้งแป้นควบคุมกลางคอนโซลสำหรับระบบ MBUX7 พร้อมปุ่มควบคุมลัด DYNAMIC SELECT และปุ่มควบคุมระดับเสียง ศูนย์ควบคุมโหมดออฟโรดออกแบบใหม่ รวมถึงการควบคุมล็อกเฟืองท้ายทั้ง 3 จุด โหมด LOW RANGE โหมดเกียร์ธรรมดา และปุ่มเข้าสู่ OFFROAD COCKPIT

●  Mercedes-Benz G 450 d มีความสามารถในการขึ้นลงทางลาดชัน ความสูงใต้ท้องรถที่เหมาะสม และแรงขับเคลื่อนอันมหาศาล เกิดจากการทำงานร่วมกันของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบกระจายแรงบิด Differential locks เอกลักษณ์เฉพาะตัวของ G-Class โครงสร้างตัวถังแข็งแกร่งแบบ Ladder-type และโหมดขับเคลื่อนความเร็วต่ำแบบ LOW RANGE โดยระบบจะใช้เกียร์ต่ำเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม

●  ช่วงล่างได้รับการปรับจูนใหม่ให้มีความแข็งแกร่ง สามารถลุยไปได้ในเกือบทุกพื้นที่ ในขณะที่ยังคงความนุ่มนวลไว้เมื่อขับแบบปกติ มาพร้อมกล้อง 360° Transparent Bonnet ช่วยให้ผู้ขับมองเห็นบริเวณด้านหน้าและใต้ท้องรถผ่านหน้าจอแสดงผล โดยใช้กล้องรอบตัวรถเพื่อสร้างภาพเสมือนจริง โดยเฉพาะในสภาพการขับที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การขับในเส้นทางออฟโรดหรือพื้นที่แคบ ฟีเจอร์นี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและมั่นใจในการขับ ทำให้สามารถตรวจสอบสภาพพื้นผิวและสิ่งกีดขวางได้อย่างง่ายดาย

●  ระบบความบันเทิงจากระบบปฏิบัติการ MBUX รุ่นล่าสุด พร้อมกับ Zero-layer concept ช่วยให้ผู้ขับเข้าถึงฟังก์ชั่นสำคัญได้โดยไม่ต้องเลื่อนผ่านเมนูหลายชั้น โดยอินเตอร์เฟซจะแสดงข้อมูลและฟีเจอร์ที่ใช้งานบ่อยบนหน้าจอหลักโดยอัตโนมัติ ทำให้การควบคุมและการสั่งงานสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น สามารถเชื่อมต่อกับ Online Music Streaming ทรงพลังด้วยเสียงจากลำโพง Burmester® 3D Surround Sound System ซึ่งเป็นระบบเสียงระดับพรีเมียม ผสานเทคโนโลยี Dolby Atmos® ที่ช่วยเพิ่มมิติของเสียงรอบด้าน ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกเหมือนอยู่ในคอนเสิร์ตฮอลล์ ปลอดภัยด้วยระบบกรองอากาศ Air Balance Cabin-Air Purification System ช่วยกรองฝุ่นละอองและมลพิษจากภายนอก พร้อมปรับสภาพอากาศภายในห้องโดยสารให้สะอาดและสดชื่นอยู่เสมอ

●  Mercedes-Benz G 450 d ติดตั้งระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุดมากมาย อาทิ Assistance Package ทั้งระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist DISTRONIC) ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist with exit warning function) ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร (Active Lane Keeping Assist) และระบบช่วยควบคุมพวงมาลัย (Active Steering Assist) และระบบความปลอดภัยอื่นๆ อย่างครบครัน

●  Mercedes-Benz G 450 d มีสีตัวถังให้เลือกทั้ง Metallic และ Non-Metallic กว่า 8 สี, MANUFAKTUR Metallic Paint 8 สี, MANUFAKTUR Non-Metallic Paint 6 สี, MANUFAKTUR Bright Paint 1 สี, MANUFAKTUR Magno Paint 10 สี และ MANUFAKTUR Exclusive Magno Paint 2 สี ราคาเริ่มต้น 12,200,000 บาท

6. Mercedes-Benz V 300 d Exclusive

●  รถแวนอเนกประสงค์ 6 ที่นั่ง เป็นรุ่นนำเข้ามาตรฐานยุโรป ออกแบบเพื่อเป็นรถสำหรับครอบครัว หรือผู้ที่ต้องการความสะดวกสบาย และความหรูหราระดับเฟิร์สคลาส มาพร้อมการตกแต่งภายในที่พิถีพิถัน พื้นที่กว้างขวาง ฟังก์ชั่นการใช้งานที่อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ขับและผู้โดยสาร สมรรถนะและการขับที่ดีเยี่ยม รวมถึงเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยตามแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เจเนอเรชั่นใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ ขนาด 1,950 ซีซี 237 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในระยะเวลา 7.4 วินาที มีความเร็วสูงสุดโดยประมาณที่ 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีระบบส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ (9G-TRONIC) ที่มีจุดเด่นในการรักษาระดับการทำงานของรอบเครื่องยนต์ให้ต่ำ และช่วยให้จังหวะการเร่งเครื่องมีความต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น

●  ภายนอกคงความภูมิฐานและแฝงความสปอร์ต ด้วยการตกแต่งกระจังหน้าใหม่แบบ Exclusive chrome grille ด้วยวัสดุโครเมียมสุดหรู พร้อมแถบไฟ LED ทั้งยังเป็นครั้งแรกในรถแวนที่มาพร้อมดาวลอย (MB logo on bonnet) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความหรูหราและความเป็นเอกลักษณ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ไฟหน้า Multibeam LED สามารถปรับการส่องสว่างให้เหมาะสมกับสภาพการขับ และสภาพแวดล้อมโดยอัตโนมัติ รวมถึงล้อแม็ก Monoblock ขนาด 19 นิ้ว และระบบกันสะเทือนแบบ AIRMATIC Suspension ซับแรงกระแทกและทำให้ช่วงล่างนุ่มนวลยิ่งขึ้น

●  Mercedes-Benz V 300 d Exclusive ถูกออกแบบอย่างประณีตและพิถีพิถันตามแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ห้องโดยสารภายในตกแต่งด้วย Wood-look มีการติดตั้งฟังก์ชั่นการใช้งานที่มอบความสะดวกสบายให้ทั้งผู้ขับและผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี ทั้งเบาะนั่งสีเบจที่มอบความเรียบหรูในทุกองศาแบบ 3 ตอน 6 ที่นั่ง พร้อมฟังก์ชั่นนวดในตัว จัดรูปแบบการนั่งแบบ 2-2-2 และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อม Touchpad ที่ช่วยให้ผู้ขับสามารถควบคุมระบบต่างๆ ของรถได้อย่างง่ายดาย กระจกมองหลังแบบดิจิทัล ที่ใช้กล้องความละเอียดสูงเพื่อแสดงภาพบนกระจกมองหลัง ช่วยเพิ่มความคมชัดและมุมมองที่กว้างขึ้น ระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย (Wireless charging) และระบบกุญแจ KEYLESS-Start เพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้ขับด้วยการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้โดยใช้แค่ปุ่มกด

●  ระบบความบันเทิงผสานรวมเทคโนโลยี MBUX เวอร์ชั่นล่าสุด (Mercedes-Benz User Experience) ซึ่งเป็นระบบอินโฟเทนเมนต์อัจฉริยะที่สามารถควบคุมการทำงานต่างๆ ของรถผ่านหน้าจอสัมผัสและการสั่งงานด้วยเสียง และเป็นครั้งแรกกับ Mercedes-Benz แอปพลิเคชัน และแพ็กเกจ Digital Extras ในรถแวนที่มาพร้อมกับระบบ Navigation ซึ่งให้ข้อมูลการนำทางแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ผู้ขับสามารถวางแผนเส้นทางอย่างแม่นยำและช่วยนำทางอย่างชาญฉลาด พร้อมยกระดับบรรยากาศที่ดีเยี่ยมในห้องโดยสารด้วยคุณภาพของระบบเสียงรอบทิศทางแบบ Burmester® และแสงไฟ Ambient Light ที่สามารถปรับแต่งได้ถึง 64 เฉดสี

●  ระบบความปลอดภัยมาตรฐานและระบบความปลอดภัยขั้นสูง อาทิ ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist DISTRONIC) ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร (Active Lane Keeping Assist) ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับ (ATTENTION ASSIST) ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Active Blind Spot Assist) ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ (Active Brake Assist) ระบบรักษาสมดุลของตัวรถเมื่อมีลมมาปะทะด้านข้าง (Crosswind Assist) และระบบช่วยนำรถเข้าจอด พร้อมเทคโนโลยีกล้องแสดงภาพแบบรอบทิศทาง (360º Camera) ฯลฯ

●  Mercedes-Benz V 300 d Exclusive มีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ได้แก่ สีเงิน (Hightech Silver) สีดำ (Obsidian Black) สีขาว (Rock Crystal White) สีเทา (Graphite Grey) สีเทา (Alpine Grey) สีฟ้า (Vintage Blue) และสีทอง (Kalahari Gold) ราคา 5,820,000 บาท

●  ไปชมรถรุ่นต่างๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ที่งาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2567 นี้ ที่ชาเลนเจอร์​ ฮอลล์ 1-3 เมืองทองธานี วันธรรมดา เปิด 12.00-22.00 น. วันหยุด เปิด 11.00 – 22.00 น.

●  ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถรุ่นอื่นๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ที่ mercedes-benz.co.th หรือที่ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการ ทุกสาขาทั่วประเทศ หรืออัพเดทข่าวสารผ่านทาง Facebook : Mercedes-Benz Thailand หรือ IG : @MercedesBenzThailand และ LINE : @mercedesbenzth ●

Preview : Mercedes-Benz / Mercedes-Maybach Motor Expo 2024

The post Mercedes-Benz / Mercedes-Maybach พรีวิว 6 ไฮไลต์รถหรู เตรียมโชว์ใน Motor Expo 2024 appeared first on motortrivia.

ที่เกี่ยวข้อง


แบ่งปันหน้านี้

โพสต์ของแขกโดย Easy Branches

all our websites

image