logologo

Easy Branches ให้คุณแบ่งปันโพสต์แขกของคุณภายในเครือข่ายของเราในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วโลก เริ่มแบ่งปันเรื่องราวของคุณวันนี้!

Easy Branches

34/17 Moo 3 Chao fah west Road, Phuket, Thailand, Phuket

Call: 076 367 766

info@easybranches.com
รถ

MG3 Hybrid+ ราคาพิเศษเฉพาะช่วงเปิดตัว เริ่มต้นที่ 559,900 บาท

ภาพ : จันทนา เจริญทวี ●   หลังโปรโมทกันมาพักใหญ่ วันนี้ เอ็มจี ประเทศไทย ก็เปิดตัวพร้อมเปิดราคาจำหน่ายรถซับคอมแพคท์ แฮทช์แบค พลังไฮบริด All New MG3 Hybrid+ อย่างเป็นทางการในบ้านเรา ตัวรถเปิดไลน์ผลิตอย่างเป็นทางการไปแล้ว ที่โรงงานผลิตรถยนต์แบบครบ

โดย: motortrivia.com

  • Aug 20 2024
  • 147
  • 3015 Views
MG3 Hybrid+ ราคาพิเศษเฉพาะช่วงเปิดตัว เริ่มต้นที่ 559,900 บาท
MG3 Hybrid+ ราคาพิเศษเฉพาะช่วง

ภาพ : จันทนา เจริญทวี

●   หลังโปรโมทกันมาพักใหญ่ วันนี้ เอ็มจี ประเทศไทย ก็เปิดตัวพร้อมเปิดราคาจำหน่ายรถซับคอมแพคท์ แฮทช์แบค พลังไฮบริด All New MG3 Hybrid+ อย่างเป็นทางการในบ้านเรา ตัวรถเปิดไลน์ผลิตอย่างเป็นทางการไปแล้ว ที่โรงงานผลิตรถยนต์แบบครบวงจรของเอ็มจี ซึ่งตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรม WHA ESIE 2 จังหวัดชลบุรี ราคาจำหน่ายพิเศษในช่วงเปิดตัว เริ่มต้นที่ 559,900 บาท

●   ผู้ที่สนใจสามารถชมคันจริงและขอทดลองขับได้ที่งาน BIG Motor Sale 2024 ระหว่างวันที่ 23 สิงหาคม – 1 กันยายน 2567 ไบเทค บางนา หรือที่โชว์รูมเอ็มจีทั่วประเทศ ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2567 เป็นต้นไป

●   เอ็มจีเปิดตัว MG3 รุ่นใหม่เจนเนอเรชั่น 3 เป็นครั้งแรกในงาน 2024 Geneva International Motor Show ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ไฮไลท์สำคัญคือการติดตั้งระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริด หรือ “Hybrid+” เป็นครั้งแรกโดยไม่มีรุ่นย่อย ICE เพียวๆ เป็นทางเลือกเลย งานออกแบบโดยรวมดูเฉี่ยวขึ้นกว่าเดิม ตัวรถยังคงเป็นแฮทช์แบคท้ายตัด 5 ประตู 5 ที่นั่ง

●   ขนาดตัวมีความยาว 4,113 มม. กว้าง 1,797 มม. สูง 1,502 มม. ความยาวฐานล้อ 2,570 มม. น้ำหนักตัว 1,285 กก. โดยประมาณ พื้นที่บรรทุกสัมภาระ 293 ลิตร และสูงสุด 1,037 ลิตร เมื่อพับเบาะ เทียบกับรุ่นปัจจุบันตัวรถจะใหญ่ขึ้นในทุกมิติ

●   อุปกรณ์ฐานใน MG3 ใหม่มี ชุดไฟหน้า LED แบบใหม่ Hunter Eye Headlamp พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ, กระจังหน้าแบบใหม่, กันชนหน้าใหม่, กระจกมองข้างปรับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยวในตัว, ไฟท้ายใหม่ออกแบบโดยใช้แรงบันดาลใจจากปีกผีเสื้อ, ไฟตัดหมอกหลัง, ฟังก์ชั่น Follow-Me-Home, กระจกมองข้างพับอัตโนมัติเมื่อล็อครถ, ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบอัตโนมัติ และล้ออัลลอยลายสปอร์ตขนาด 16 นิ้ว

●   ห้องโดยสารเลย์เอาท์แบบ 5 ที่นั่ง ตกแต่งด้วยสีทูโทนขาวสลับดำ อุปกรณ์มาตรฐานประกอบด้วยมาตรวัดดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว, จอแสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 10.25 นิ้ว พร้อมระบบปฏิบัติการ i-SMART, ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Apple CarPlay หรือ Android Auto แบบไร้สาย, ถาดชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย, ระบบปรับอากาศดิจิทัล, ปุ่มเลือกเกียร์แบบโรตารี่, พอร์ท USB Type-A 2 ตำแหน่ง, พอร์ท USB Type-C 1 ตำแหน่ง, ระบบกรองฝุ่น PM 2.5, ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง, ชุดลำโพง 6 ตำแหน่ง, กุญแจรีโมท Smart Key และปุ่ม Push Start

●   ชุดระบบขับเคลื่อนไฮบริดใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 102 แรงม้า รองรับน้ำมัน E20, มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 25.4 กก.-ม., มอเตอร์ที่ใช้สร้างกระแสไฟ 45 กิโลวัทท์, เกียร์ไฟฟ้า E-AT 3 จังหวะ และแบตเตอรี่แพคชนิด Lithium-Ion ความจุ 1.83 กิโลวัทท์-ชม. กำลังรวมทั้งระบบผลิตได้ 194 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 25.4 กก.-ม. อัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ภายใน 8 วินาที น้ำมัน 1 ถังวิ่งทำระยะทางได้มากกว่า 800 กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยประมาณ 26.2 กม./ลิตร

●   รูปแบบในการขับเคลื่อนมี 8 โหมดตามความเร็วรถ ประกอบด้วยระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid), ระบบขับเคลื่อนแบบผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า (Parallel Hybrid) และโหมดไฟฟ้าล้วน (Pure EV) ส่วนโหมดในการขับซึ่งผู้ขับสามารถเลือกได้มีโหมด Eco, Standard หรือ Sport

●   (1) โหมดขณะรถจอดรอ : ตัวระบบจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แรงดันไฟฟ้าสูง (HV Battery หรือ High-Voltage Battery) ช่วยให้ระบบปรับอากาศ และระบบอื่นๆ สามารถทำงานได้โดยที่เครื่องยนต์หยุดการทำงาน

●   (2) โหมดไฟฟ้าล้วนจาก 0 – 30 กม./ชม. : เมื่อผู้ขับเริ่มออกตัวจากจุดหยุดนิ่งจนถึงความเร็ว 30 กม./ชม. ตัวรถจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ล้วนๆ (Pure EV) สามารถวิ่งได้นุ่มนวลและเงียบเหมือนรถไฟฟ้า 100%

●   (3) โหมดความเร็วบนสภาพการจราจรหนาแน่น : เมื่อผู้ขับใช้ความเร็วเพิ่มขึ้นในช่วง 30 – 50 กม./ชม. ซึ่งนับเป็นช่วงความเร็วต่ำ ใช้งานในเมือง ระบบจะสลับไปยังโหมดขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) เครื่องยนต์จะทำหน้าที่เป็นเจนเนอเรเตอร์ ส่งกระแสไฟไปให้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนตัวรถ

●   (4) โหมดความเร็วสำหรับวิ่งในเมือง : เมื่อความเร็วของรถไต่ระดับไปที่ 50 – 80 กม./ชม. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นช่วงความเร็วปานกลางสำหรับใช้งานระหว่างเดินทางออกนอกเมือง ตัวรถจะเปลี่ยนไปใช้ระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) ช่วยให้ผู้ขับใช้แรงบิดสูงได้อย่างต่อเนื่อง โดยเครื่องยนต์จะยังคงทำหน้าที่เป็นเจนเนอรเตอร์ผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ขับเคลื่อน พร้อมส่งกระแสไฟฟ้าส่วนเกินไปเก็บเอาไว้ในแบตเตอรี่แพค

●   (5) โหมดความเร็วคงที่ : ขณะที่ผู้ขับใช้ความเร็วคงที่ในช่วง 80 กม./ชม. ระหว่างการเดินทางระยะไกล ระบบจะสลับเป็นการใช้งานเครื่องยนต์ที่รอบความเร็วต่ำ และใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างเหมาะสม ตัวเครื่องยนต์จะตัดต่อการทำงานผ่านชุด Hybrid Transmission ซึ่งมี 3 อัตราทดแบบอัตโนมัติ และขับเพลาเพื่อหมุนล้อโดยตรง MG ระบุว่าในย่านความเร็วนี้ ชุดระบบของ MG3 ใหม่จะประหยัดเชื้อเพลิงกว่ารถแบบ Series Hybrid ทั่วไปที่เครื่องยนต์ทำหน้าที่ปั่นไฟเพียงอย่างเดียวตลอดเวลา

●   (6) โหมดวิ่งทางไกล และช่วงเร่งแซง : เมื่อผู้ขับใช้ความเร็วในช่วง 80 – 120 กม./ชม. ซึ่งเป็นช่วงเดินทางไกลหรือขึ้นทางลาดชัน หากผู้ขับต้องการเร่งแซงก็สามารถกดคันเร่งเบาๆ ให้เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฮบริดทำงานร่วมกัน (Parallel Hybrid) ได้ทันที ตัวรถจะผลิตกำลังสูงสุด และมอบอัตราเร่งที่ทันใจให้ เพื่อให้การเร่งแซงตอบสนองได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย

●   (7) โหมดความเร็วสูง : เมื่อผู้ขับใช้ความเร็วสูงบนไฮเวย์ที่ 120 กม./ชม. เครื่องยนต์จะทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยขณะที่รถขับเคลื่อน ระบบจะแบ่งกำลังส่วนที่เหลือจากเครื่องยนต์ไปหมุนเจนเนเรเตอร์เพื่อปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่แพค

●   (8) โหมดลดความเร็ว และฟังก์ชั่น Regenerative : เมื่อผู้ขับผ่อนคันเร่งเพื่อลดความเร็วลงมาในช่วง 120 – 0 กม./ชม. หรือช่วงขับลงทางชัน ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ที่ใช้มอเตอร์เป็นตัวหน่วงกำลัง และทำหน้าที่เป็นระบบชาร์จไฟกลับ หรือ Energy Regeneration ซึ่งเลือกได้ 3 ระดับ มาก / น้อย / ปานกลาง

●   ชุดระบบความปลอดภัยมี ฟังก์ชั่นกล้องรอบคัน 360 องศาแบบ High Definition, ระบบ Adaptive Cruise Control ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน, ระบบ Traffic Jam Assist ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบความเร็วต่ำในช่วงการจราจรติดขัด, ระบบ Emergency Lane Keeping System ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน, ระบบ Lane Departure Prevention ป้องกันการออกนอกเลน, ระบบ Lane Keep Assist ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน, ระบบ Lane Departure Warning แจ้งเตือนเมื่อออกนอกเลน, ระบบ Forward Collision Warning แจ้งเตือนเมื่อพบความเสี่ยงในการชนด้าน

●   ต่อด้วยระบบ Electronic Differential System (XDS) ควบคุมการเบรคในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง, ระบบ Autonomous Emergency Braking ช่วยเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบ Emergency Stop Signal สัญญาณไฟเบรคฉุกเฉิน, ระบบ Unsteady Driving Warning ช่วยตรวจสอบพฤติกรรมการขับ, ระบบ Hill Start Assist System ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, ระบบ Speed Sensing Door Lock ช่วยล็อคประตูรถแบบอัตโนมัติ, ระบบ Tire Pressure Monitor System ตรวจสอบลมยาง

นายซู่ว์ หยิ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด

●   นายซู่ว์ หยิ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “นอกจาก All New MG3 Hybrid+ จะเป็น The Best-in-Class ใน B-Segment ด้วยการยกระดับผลิตภัณฑ์ในหลายๆ ด้านแล้วนั้น ครั้งนี้ เอ็มจี ยังได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ แตกต่างจากการเปิดตัวรถยนต์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น การเปิดโอกาสให้ผู้สนใจลงทะเบียนทดลองขับรถรุ่นใหม่นี้ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ 4 ภาคทั่วไทย เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสสมรรถนะของ All New MG3 Hybrid+ รวมไปถึงการทดสอบขับจริงบนท้องถนน ผ่านกิจกรรมขับทางไกล “กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ด้วยน้ำมันถังเดียว” ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของรถเมื่อขับขี่บนถนนจริง สามารถวิ่งได้ไกลถึง 800 กิโลเมตร ต่อน้ำมันหนึ่งถัง”

●   “ทั้งนี้ เพื่อยืนยันความเชื่อมั่นและพิสูจน์คุณภาพของรถ เอ็มจี ในทุกการเดินทาง และยังเป็นครั้งแรกที่เอ็มจีได้ทำการเปิดตัว All New MG3 Hybrid+ พร้อมกันในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ (Nationwide launch) โดยมีกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการประกาศราคาอย่างเป็นทางการ ซึ่งจัดขึ้นที่ สยามสแควร์วัน ในภูมิภาคต่างๆ ได้มีการจัดงานเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในย่านสำคัญของแต่ละพื้นที่ อาทิ ภาคเหนือ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ศูนย์การค้าเดอะมอลล์โคราช และภาคใต้ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล หาดใหญ่”

●   “ทุกสถานที่จะมีกิจกรรมพิเศษต่อเนื่องจากการเปิดตัว เพื่อให้ผู้สนใจเข้ามาได้สัมผัสประสบการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเอ็มจีพร้อมให้ผู้ที่สนใจสามารถจองและทดลองขับได้ที่ งาน BIG Motor Sale 2024 และศูนย์บริการของ เอ็มจี 150 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม 2567 นี้เป็นต้นไป”

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด

ราคาจำหน่าย

●   เอ็มจีจะแยกการจำหน่าย MG3 Hybrid+ ใหม่เป็น 2 รุ่นย่อย ประกอบด้วยรุ่น D ราคาพิเศษช่วงเปิดตัว 559,900 บาท (จากราคา 579,900 บาท) และรุ่น X ราคาพิเศษช่วงเปิดตัว 599,900 บาท (จากราคา 619,900 บาท) สำหรับ 1,000 คันแรกเท่านั้น

●   สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเชิญได้ที่ MG Call Centre โทร. 1267 หรือเว็บไซท์ : www.mgcars.com หรือแอด LINE : @MGThailand หรือเฟซบุ๊คแฟนเพจ : facebook.com/MGcarsThailand หรือแอพพลิเคชั่น : MG Thailand ●

Grand Opening : 2024 MG3 Hybrid+

2024 MG3 Hybrid+ (Thailand)

The post MG3 Hybrid+ ราคาพิเศษเฉพาะช่วงเปิดตัว เริ่มต้นที่ 559,900 บาท appeared first on motortrivia.

ที่เกี่ยวข้อง


แบ่งปันหน้านี้

โพสต์ของแขกโดย Easy Branches

all our websites

image