TJRI เปิด Insight อนาคตยานยนต์ญี่ปุ่น ผลักดันไทย-ญี่ปุ่นลงทุนเพิ่ม
ประชาสัมพันธ์ ● TJRI โครงการศึกษาวิจัยการลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย (Thailand Japanese Investment Research Institute) ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนไทย-ญี่ปุ่น ทำการรวบรวมและวิเคราะห์ Insight จากนักลงทุนญี่ปุ่น ต่อกรณีที่บริษัทยานยนต์สัญชาติญี่ปุ่นหลาย
ประชาสัมพันธ์
● TJRI โครงการศึกษาวิจัยการลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย (Thailand Japanese Investment Research Institute) ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนไทย-ญี่ปุ่น ทำการรวบรวมและวิเคราะห์ Insight จากนักลงทุนญี่ปุ่น ต่อกรณีที่บริษัทยานยนต์สัญชาติญี่ปุ่นหลายค่ายเริ่มถอนการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าเกิดจากการเข้ามาของ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) จากประเทศจีน ที่รุกทำการตลาดอย่างหนัก ผนวกกับยอดขายลดจากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว
● สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน แม้ว่าค่ายอื่นๆ จะยังไม่ถอนการลงทุน แต่อนาคตยังไม่อาจคาดการณ์ได้ ดังนั้น TJRI จึงเห็นว่าควรเร่งหารือเพื่อรักษา Supply chain รถยนต์สันดาปฯ ที่ไทย-ญี่ปุ่นร่วมสร้างกว่า 60 ปี พร้อมแนะใช้สื่อภาษาญี่ปุ่น “THAIBIZ” เป็นช่องทางสื่อสาร ดูแลสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อนักลงทุนญี่ปุ่น หวังช่วยยกระดับความร่วมมือ เพื่อดึงให้ญี่ปุ่นลงทุนในประเทศไทยเพิ่มเติม
นายกันตธร วรรณวสุ ผู้ดำเนินโครงการ TJRI
รัฐฯ ยกเลิกการส่งเสริม ECO Car ตอกย้ำผลงานของซูซูกิ
● นายกันตธร วรรณวสุ ผู้ดำเนินโครงการ TJRI กล่าวว่า “ซูซูกิได้เข้ามาลงทุนในไทยจากการนโยบายส่งเสริมรถยนต์อีโคคาร์ในปี 2550 ซึ่งไทยคาดหวังว่าอีโคคาร์จะมีโอกาสพัฒนากลายมาเป็น ‘โปรดักส์แชมเปี้ยน’ ลำดับที่สองของประเทศรองจากรถกระบะ ซึ่งปัจจุบันนโยบายนี้ไม่สำเร็จตามที่คาดไว้ ดังนั้นรัฐบาลจึงยกเลิกการให้ความสนับสนุน และทางซูซูกิเองก็ต้องยอมรับที่ไม่สามารถทำผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างที่ตั้งเป้าไว้ ดังนั้นการถอนการลงทุนออกจากประเทศไทยจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”
● หมายเหตุ : ซูซูกิ ประกาศยุติการผลิตรถในไทย เตรียมนำเข้า EV / HEVs ในอนาคต เช่นเดียวกับ ซูบารุซึ่งจะเปลี่ยนไปจำหน่ายรถนำเข้า หรือ Complete Build Up (CBU) จากประเทศญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน
ญี่ปุ่นเริ่มปิดโรงงาน ส่วนค่ายอื่นยังไปต่อโดยเน้นการผลิตเพื่อส่งออก
● นายกันตธร มองประเด็นการปิดโรงงานของค่ายญี่ปุ่นในอนาคตว่า “ปัจจุบันโรงงานของซูซูกิและซูบารุ เน้นการจำหน่ายในประเทศโดยนำเข้าชิ้นส่วนมาประกอบและจำหน่ายในประเทศ (CKD) ต่างกับค่ายอื่นที่เน้นผลิตเพื่อส่งออกเป็นธุรกิจหลักด้วย จึงได้รับผลกระทบจากมาตรการณ์สนับสนุนรถ EV ง่ายกว่าค่ายอื่นๆ ทั้ง 2 ค่ายดังกล่าวมีจำนวนการผลิตที่น้อยจึงยังไม่กระทบต่ออัตราการผลิตยานยนต์โดยรวมของประเทศไทยมากนัก ทว่าการที่ซูบารุ ซูซูกิ รวมถึงฮอนด้า ได้ถอนหรือลดการผลิตลงนั้น หากมองย้อนกลับมาจากอนาคตในอีก 10 – 20 ปีข้างหน้า จะพบว่าการตัดสินใจครั้งนี้อาจเป็นการจัดกำลังการผลิตของโรงงานต่างๆ ในโลกของตนได้อย่างรวดเร็วและชาญฉลาดแล้ว”
● “เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นกับพานาโซนิคที่ตัดสินใจปิดโรงงานเก่าในไทยและย้ายไลน์การผลิตไปควบรวมที่โรงงานใหม่ในเวียดนามแทน ถือเป็นวงจรของธุรกิจตามปกติที่มีโอกาสเกิดขึ้นกับยานยนต์ญี่ปุ่นในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่มียอดขายสินค้าในประเทศไทยที่มีนัยยะสำคัญให้ตัดสินใจไปต่อ”
● “ค่ายญี่ปุ่นอื่นๆ ที่เหลือนั้น เบื้องต้นในอีก 5 – 10 ปี คาดว่าจะไม่ไปจากไทยอย่างแน่นอน เพราะยังมียอดการผลิตเพื่อการส่งออกจึงไม่สามารถตัดสินใจได้เร็ว แต่ในอนาคตอินโดนีเซียหรือเวียดนามก็อาจมีขนาดตลาดในประเทศที่ขยายตัวขึ้นมาก และเพียงพอที่จะทำให้ค่ายญี่ปุ่นตัดสินใจย้ายออกจากประเทศไทยในที่สุด”
สงครามราคา EV ทำธุรกิจดีลเลอร์ไม่ยั่งยืน
● สิ่งที่ทำให้ธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์มีกำไรคือ การที่ผู้ผลิตช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ส่งผลให้มีลูกค้ามาใช้บริการหลังการขายอย่างต่อเนื่อง จนนำไปสู่การซื้อซ้ำในอนาคต ทว่าสิ่งที่น่ากังวลคือ “สงครามราคา” ซึ่งผู้ผลิตจากจีนกำลังลดราคาอย่างหนักในปัจจุบัน ส่งผลให้คนทำธุรกิจดีลเลอร์อยู่รอดได้อย่างไม่ยั่งยืน เนื่องจากการลดราคาอย่างหนัก ทำให้ตลาดรถยนต์มือสองราคาตกหนักตามไปด้วย
● ดังนั้นเมื่อผู้บริโภคไม่สามารถขายรถคันเก่าเพื่อเทิร์นไปซื้อรถคันใหม่ได้ง่ายมากนักจึงกระทบต่อการซื้อซ้ำในอนาคตไปด้วย สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ธุรกิจดีลเลอร์มีแนวโน้มการขาดทุนในระยะยาว ซึ่งแตกต่างกับแนวคิดที่ค่ายญี่ปุ่นทำมาตลอดหลายสิบปี เนื่องจากญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับเจ้าของธุรกิจดีลเลอร์ทั่วประเทศเป็นอย่างมาก
ญี่ปุ่นไม่ปฏิเสธ EV ขอบคุณไทยส่งเสริม Hybrid ผลตอบรับมอเตอร์โชว์ดี เล็งนำเข้า-ผลิตเพิ่ม
● จากการรวบรวมข้อมูลในกรณีที่บอร์ดอีวีออกมาตรการสนับสนุนสำหรับรถยนต์ Hybrid เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมานั้น พบว่าค่ายญี่ปุ่นหลายรายได้แสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลไทยที่คำนึงถึง Supply chain รถยนต์สันดาปฯ ที่ไทยและญี่ปุ่นร่วมกันสร้างมานานกว่า 60 ปี อีกทั้งญี่ปุ่นเองไม่ได้ปฏิเสธรถ EV แต่อย่างใด ทว่าเล็งเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนั้นต้องใช้เวลาที่เหมาะสม
● ในงาน บางกอก มอเตอร์โชว์ 2024 ครั้งที่ผ่านมา หลายค่ายดีใจมากที่มีโอกาสนำเสนอรถ Hybrid กับผู้บริโภคไทย เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในอนาคตสำหรับผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งได้รับกระแสตอบรับรถ Hybrid เป็นอย่างมาก ดังนั้นบางค่ายจึงมีแผนที่จะนำเข้าหรือผลิตรถ Hybrid ในประเทศไทย เพื่อจำหน่ายในประเทศในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน
Supply chain ไทย-ญี่ปุ่นยังสำคัญ เทรนด์ค่ายญี่ปุ่นดันคนไทยขึ้นเป็นผู้บริหารฯ
● นายกันตธร วิเคราะห์ว่า “สาเหตุที่ยานยนต์ญี่ปุ่นเริ่มถอนการลงทุนในประเทศไทยมีหลากหลายปัจจัย เช่น ค่ายญี่ปุ่นปรับตัวต่อการเข้ามาของ EV ได้ช้า ยอดขายรถยนต์ในประเทศลดลง ไปจนถึงการยกเลิกการสนับสนุนนโยบายเก่า และยกระดับการสนับสนุนรถ EV ซึ่งเอื้อต่อค่ายจีนมากกว่าก็จริง ทว่า Supply chain ที่ไทย-ญี่ปุ่นร่วมกันสร้างนั้นมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งสำคัญต่อไทยอย่างยิ่งจึงควรมองเรื่องนี้เป็นกรณีศึกษาและควรร่วมคิดแก้ไขปัญหานี้กับนักลงทุนญี่ปุ่นโดยเร็ว”
● “นอกจากนี้หลายค่ายญี่ปุ่นกำลังเน้นเรื่องการพัฒนา “ทรัพยากรมนุษย์” เป็นอย่างมาก ซึ่งหลายค่ายเน้นพัฒนาพนักงานไทยโดยสนับสนุนการไปฝึกงานที่ญี่ปุ่น ผลักดันคนไทยให้ขึ้นมาเป็นผู้บริหารขององค์กร รวมถึงให้คนไทยมีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นอย่างมาก เพื่อการ Localization วัฒนธรรมองค์กรญี่ปุ่นให้เหมาะกับไทยและสอดคล้องกับเทรนด์ของโลกมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีอย่างมาก”
TJRI เปิดสื่อ THAIBIZ หวังทำหน้าที่ IR ต่อนักลงทุนญี่ปุ่น ดึงญี่ปุ่นลงทุนหนุนเศรษฐกิจไทย
● โครงการ TJRI พยายามใช้จุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญเรื่องธุรกิจญี่ปุ่นของตัวเอง เพื่อช่วยแก้ปัญหาของประเทศด้วยเช่นกัน เนื่องจากบริษัทญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการส่งพนักงานคนญี่ปุ่นไปประจำยังต่างประเทศ โดยมีการโยกย้ายประเทศทุกๆ 3-5 ปี ทำให้ผู้บริหารญี่ปุ่นขาดความเข้าใจบริบทการทำธุรกิจและการบริหารงาน โครงการฯ จึงอยากช่วยให้พวกเขามีความเข้าใจธุรกิจไทย รวมถึงวิธีการทำงานร่วมกับคนไทยโดยเร็วที่สุด ดังนั้นจึงได้เปิดตัวสื่อ “THAIBIZ” เมื่อเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมา เพื่อนำเสนอเนื้อหาในแวดวงธุรกิจไทย-ญี่ปุ่น ประกอบด้วยเว็บไซต์ จดหมายข่าวประจำวันที่ส่งให้แก่สมาชิกทางอีเมล และนิตยสารรายเดือน โดยปัจจุบันเครือข่ายสมาชิก THAIBIZ มีทั้งนักธุรกิจที่อาศัยอยู่ในไทยและญี่ปุ่นมากกว่า 12,000 คน จึงอยากให้ภาครัฐและเอกชนไทยใช้สื่อภาษาญี่ปุ่น THAIBIZ เสมือนนักลงทุนสัมพันธ์ (IR) เป็นช่องทางการสื่อสารโดยตรงต่อนักลงทุนญี่ปุ่นเพิ่มเติม
● สื่อ THAI BIZ เกิดจากการควบรวมเว็บไซต์ข่าวธุรกิจ TJRI และสื่อธุรกิจภาษาญี่ปุ่น “ArayZ” ซึ่งได้ดำเนินกิจการในไทยมายาวนานกว่า 10 ปี โดยนิตยสาร THAIBIZ ได้เปิดตัวฉบับแรกไปในเดือนเมษายน 2567 ด้วยบทสัมภาษณ์พิเศษจาก CEO ชั้นนำต่างๆ เช่น บริษัท DENSO ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำระดับโลก, Ajinomoto และ Marubeni ซึ่งต่างเป็นกรรมการของหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCC) รวมทั้งผู้บริหารบริษัทไทย เช่น คุณ สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย บริษัทขอนแก่นพัฒนาเมืองที่มาแนะนำเรื่อง Smart City, คุณรวิศ หาญอุตสาหะ บริษัทศรีจันทร์สหโอสถ ซึ่งเป็นผู้นำทางความคิดของนักธุรกิจไทยรุ่นใหม่, คุณฤทธิ์ ธีระโกเมน จาก เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป เกี่ยวกับแนวคิดธุรกิจร้านอาหารในไทย เป็นต้น โดยเพื่อให้ชาวญี่ปุ่นมีความเข้าใจต่อผู้ประกอบการไทยมากขึ้น
● “ความตั้งใจที่จะให้ญี่ปุ่นยกระดับการลงทุนนั้น รวมถึงการสร้างความร่วมมือและนวัตกรรมใหม่ๆ ร่วมกับบริษัทไทยนั้น เป็นวัตถุประสงค์ที่โครงการ TJRI ผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง THAIBIZ มุ่งมั่นเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ คอยดูแลนักลงทุนชาวญี่ปุ่นทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเรามีเครือข่ายนักธุรกิจที่อาศัยอยู่ทั้งไทยและญี่ปุ่นซึ่งมีความสนใจธุรกิจของบริษัทไทยอย่างมาก จึงเป็นช่องทางที่ตอบโจทย์สำหรับบริษัทไทยที่อยากเข้าถึงนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น” นายกันตธร กล่าวปิดท้าย
● สำหรับองค์กรไทยที่ต้องการสร้างการรับรู้ในหมู่นักลงทุนญี่ปุ่น สามารถติดต่อเพื่อประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ THAIBIZ ได้ที่ โทร. 02-392-3288 หรือ e-mail : info@th-biz.com หรือ th-biz.com ●
The post TJRI เปิด Insight อนาคตยานยนต์ญี่ปุ่น ผลักดันไทย-ญี่ปุ่นลงทุนเพิ่ม appeared first on motortrivia.